คู่มือการสั่งใช้ยาแพ็กซ์โลวิดสำหรับแพทย์ที่ชัดเจน

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

ยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) เป็นยาสำหรับรักษาโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินมาเป็นเวลากว่าหกเดือนแล้ว ผลของการวิจัยทางคลินิกแสดงว่ายาแพ็กซ์โลวิดมีประสิทธิผลดีมากในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ในระยะสอง-สามเดือนที่ผ่านมากรณีการติดเชื้อและเป็นโควิด-19 อีกครั้งหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดจนหายแล้วมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงกรณีของนพ. แอนโทนี ฟาวซิ (Dr. Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ ที่เป็นโควิด-19 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมาและได้รับการรักษาด้วยยาแพ็กซ์โลวิดจนครบห้าวันและมีผลการตรวจโควิดแบบเร่งด่วนที่เป็นลบติดต่อกัน 3 วันแต่กลับมีอาการป่วยที่มีอาการรุนแรงมากกว่าอาการป่วยในครั้งแรกอีกรอบทำให้ต้องเริ่มการกินยาแพ็กซ์โลวิดอีกครั้งเป็นรอบที่สอง (ห้าวัน) แต่นพ. ฟาวซิ ชมว่าแพ็กซ์โลวิดทำงานได้ผลตามความคาดหวังและทำให้เขาไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว[1]

กรณีการกลับมาป่วยใหม่หลังจากรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดแล้วทำให้แพทย์จำนวนหนึ่งมีคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับยารักษาโควิด-19 ที่ถือว่าได้ผลดีมากนี้[2] คำถามที่แพทย์มีความเห็นต่างกัน ได้แก่เช่น ควรเริ่มใช้แพ็กซ์โลวิดเมื่อไร หรือเกณฑ์ในการตัดสินใจว่าผู้ป่วยคนใดควรต้องได้รับการรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดและคนใดที่ไม่จำเป็นต้องได้รับแพ็กซ์โลวิด นอกจากนั้นแล้วยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าควรต้องให้แพ็กซ์โลวิดคอร์สที่สองแก่ผู้ป่วยที่มีผลการตรวจเป็นบวกอีกครั้งหลังจากที่ได้รับการรักษาจนหายด้วยแพ็กซ์โลวิดแล้วหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของ STAT กล่าวว่าพวกเขาต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นโควิด-19 อีกครั้งหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดจนหายแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและบางครั้งก็เปลี่ยนการคำนวนของพวกเขาเกี่ยวกับเวลาที่จะให้ยาอีกครั้ง

นพ. โจนาธาน ลี (Dr. Jonathan Li) จากโรงพยาบาลบริกแฮมและสตรี (Brigham and Women’s Hospital) และนักไวรัสวิทยาของคณะแพทยศาตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่เพียงพอและเสริมว่าแม้แต่คณะผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับการพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการรักษาโควิด-19 (COVID-19 Treatment Guidelines Panel) ที่นพ. ลี เป็นสมาชิกคนหนึ่งก็ยังมีความสับสนมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ “แม้กระทั่งในหมู่คนที่ติดตามผลงานการวิจัยอย่างใกล้ชิดและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อก็ยังมีความเห็นที่หลากหลายพอสมควร”

ในปัจจุบันกลุ่มคนที่สามารถสั่งจ่ายยาแพ็กซ์โลวิดมีเพิ่มมากขึ้น ในวันพุธที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมาองค์การอาหารและยาเริ่มอนุญาตให้เภสัชกรสั่งยาแพ็กซ์โลวิดได้ การวิจัยเบื้องต้นในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าแพ็กซ์โลวิดลดความเสี่ยงของการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตได้ถึง 89% องค์การอาหารและยาระบุว่าควรให้ยาแพ็กซ์โลวิดซึ่งเป็นยาสองชนิดผสมกันสำหรับกินวันละสองเม็ดติดต่อกันเป็นเวลาห้าวันภายในห้าวันหลังจากเริ่มมีอาการแก่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีผลการตรวจโควิด-19 เป็นบวกและเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วหมายความถึงทุกคนที่เป็นโรคหอบหืดหรืออ้วนไปจนถึงผู้มีอายุเกินกว่า 65 ปี

ดังนั้นเกือบทุกคนเข้าข่ายการรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดขององค์การอาหารและยาซึ่งเป็นการอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เกณฑ์ดังกล่าวกว้างมากเกินไปในความเห็นของศาสตราจารย์เดวิด สมิธ (Prof. David Smith) แพทย์และเชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก และในข่าวของ STAT กล่าวว่าในเวลาเพียงอาทิตย์เดียวของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีใบสั่งยาแพ็กซ์โลวิดมากกว่า 160,000 รายการ

แพทย์โดยมากเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงบางกลุ่มรวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีที่มีโรคประจำตัวควรได้รับการสั่งจ่ายยานี้เสมอ แต่คุณสมบัติที่กว้างขึ้นทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับแพทย์บางคนที่จะตัดสินใจว่าใครควรหรือไม่ควรได้รับแพ็กซ์โลวิด โดยรวมแล้วแพทย์คิดว่าเด็กไม่น่าที่จะจำเป็นที่ต้องใช้แพ็กซ์โลวิด แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ที่ให้สัมภาษณ์กับ STAT มีความเห็นแตกต่างกันสำหรับการใช้แพ็กซ์โลวิดรักษาผู้ชายหรือผู้หญิงที่มีอายุมากแต่สุขภาพยังดีอยู่

ดร. พญ. เดบรา เพาท์เซียกา (Dr. Debra Poutsiaka) แพทย์ด้านโรคระบาดและหัวหน้ารักษาการของแผนกการแพทย์ทางภูมิศาสตร์และโรคติดเชื้อคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยทัฟส์ (Tufs Medical Center) สั่งยาแพ็กซ์โลวิดให้กับผู้ป่วยทุกรายที่เข้าเกณฑ์โดยอธิบายว่ามีเหตุผลที่การอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินแนะนำให้คนบางกลุ่ม เช่น คนที่มีโรคประจำตัว คนที่มีอายุมากให้ได้รับแพ็กซ์โลวิด และเสริมว่าจากการศึกษาต่างๆ แสดงว่าคนที่อยู่ในเกณฑ์เหล่านั้นมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโควิดที่มีอาการุนแรง ดังนั้นการตัดสินใจรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดไม่ใช่สิ่งที่ดร. เพาท์เซียกา ตัดสินเองว่าใครควรได้รับแพ็กซ์โลวิดหรือไม่

แพทย์บางคนมีความเห็นที่ระมัดระวังมากกว่าในการสั่งยาแพ็กซ์โลวิด ถึงแม้ว่าพวกเขายังคงสนับสนุนให้ผู้ป่วยสูงอายุที่มีอาการป่วยร่วมอย่างน้อยหนึ่งอย่างให้ใช้แพ็กซ์โลวิด แต่สำหรับแพทย์กลุ่มนี้กรณีที่เป็นกรณีก้ำกึ่ง ได้แก่เช่น กรณีที่ผู้ป่วยมีอายุมากแต่มีสุขภาพแข็งแรง กรณีเช่นนี้เป็นกรณีที่ยากต่อการตัดสินใจ แพทย์กลุ่มนี้อธิบายว่าโรคโควิดสามารถก่อให้เกิดการเจ็บป่วยได้หลายอย่างในผู้ป่วยแต่ละคน และยาแพ็กซ์โลวิดก็เหมือนกับยาอื่นๆ ที่มีผลข้างเคียงอื่นๆ ด้วย

นพ. ราเจช คานธี (Dr. Rajesh Gandhi) แพทย์ด้านโรคติดเชื้อจากโรงพยาบาลศูนย์แมสซาชูเซตส์และโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีความเห็นว่าสำหรับกรณีที่มีความเสี่ยงต่ำนั้นการตัดสินใจสั่งใช้ยาแพ็กซ์โลวิดเป็นการตัดสินใจที่มีความแตกต่างกันในแต่ละรายเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและการในบางกรณีเป็นการตัดสินใจทางคลินิกที่พิจารณาเป็นรายกรณีไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นความแตกต่างเกี่ยวกับเวลาในการสั่งใช้ยา ศาสตราจารย์ นพ. ไมรอน โคเฮน (Dr. Myron Cohen) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและนักวิจัยด้านเอชไอวีที่โด่งเด่นของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนาที่แชปเพิลฮิลล์สนับสนุนการเริ่มใช้แพ็กซ์โลวิดทันทีและเน้นว่าการสนทนาที่มีจะค่อนข้างสั้นเพราะข้อมูลที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่าหากต้องการได้รับประโยชน์สูงสุดจากยานี้และพยายามที่จะลดโควิดยาว (long COVID) แล้ว ยิ่งกินยาหลังจากผลตรวจเป็นบวกเร็วเท่าใดก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ฉลาดขึ้นตามนั้น

ศ. สมิธ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโกกล่าวว่าเขาเคยเห็นแพทย์สั่งจ่ายยาหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับสัมผัสกับไวรัสแต่ก่อนที่พวกเขาจะได้รับตรวจเป็นในบวกแม้ว่าจะมีการวิจัยที่ได้ผลค่อนข้างชัดเจนว่ามันไม่มีประโยชน์ในการป้องกันโรค

ในทางกลับกันศาสตราจารย์ นพ. โรเบิร์ต วาชเตอร์ (Prof. Robert Wachter) หัวหน้าภาควิชาแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก คาดการณ์ว่าการให้แพ็กซ์โลวิดตั้งแต่ต้นอาจไม่ให้เวลากับระบบภูมิคุ้มกันเพียงพอในการเตรียมตัวและเตรียมพร้อมเมื่อยาเริ่มอ่อนฤทธิ์ลงซึ่งเป็นเรื่องที่เขากังวลว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงของการฟื้นตัวกลับไปเป็นโควิด-19 ใหม่ แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่ากรณีนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้บางคนกลับเป็นโควิด-19 อีกรอบ ศ. วาชเตอร์คิดว่าสำหรับคนที่เป็นกรณีก่ำกึ่งแล้วคำแนะนำส่วนมากคือ – ถ้าเป็นวันที่หนึ่งหรือสอง – ให้รอสามวัน … เพราะเรามีเวลาถึงวันที่ห้าในการสั่งใช้ยานี้ และแนะนำให้รอจนถึงวันที่สี่เพื่อดูว่าเป็นอย่างไร หากผู้ป่วยยังรู้สึกดีอยู่ก็ไม่ควรสั่งใช้ยา แต่ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกแย่อยู่จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลว่าควรใช้แพ็กซ์โลวิด สำหรับผู้ป่วยของศ. วาชเตอร์ที่ทำตามคำแนะนำของเขา บางคนก็ต้องใช้ยาดังกล่าว แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วอาการป่วยมีน้อยมากและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้แพ็กซ์โลวิด

ศ. วาชเตอร์กล่าวว่าเขาจะทำตามคำแนะนำที่เขาให้แก่ผู้ป่วยโดยอธิบายว่าเขามีอายุ 64 ปี และได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 กระตุ้นแล้ว 2 เข็ม — วัคซีน 2 เข็มแรกและวัคซีนกระตุ้นอีก 2 เข็ม หากเขาติดโควิดเขาจะไม่รีบใช้แพ็กซ์โลวิดทันทีในวันแรกที่รู้ว่าเป็นโควิดแต่อาจจะรอจนถึงวันที่สองหรือสาม

แต่แพทย์คนอื่นไม่เห็นด้วยกับการรอเพราะการวิจัยโครงการแรกและที่เป็นการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดของแพ็กซ์โลวิดรักษาผู้ป่วยภายในสามวันหลังจากมีอาการ ดังนั้นการระบุเวลาห้าวันในการอนุมัติสำหรับใช้ในกรณฉุกเฉินจึงมีความเบี่ยงเบนอยู่แล้ว และเป็นการกำหนดเวลาที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนเป็นอย่างดี ศ. โคเฮนอธิบายว่าเรามีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้ตั้งแต่เนิ่นๆ มากกว่าความรู้เกี่ยวกับการใช้ภายหลัง ดังนั้นความคิดที่ว่ามาดูกันว่าผู้ป่วยจะเป็นอย่างไรนั้นจึงไม่สมเหตุสมผล ยกเว้นในกรณีที่แพทย์คิดว่าผู้ป่วยไม่ต้องการแพ็กซ์โลวิดเท่านั้น ศ. โคเฮนเสริมว่าเขาและเพื่อนร่วมงานสั่งจ่ายแพ็กซ์โลวิดให้แก่ผู้ป่วยที่เชื่อว่าจำเป็นต้องได้แพ็กซ์โลวิดโดยเร็วที่สุด

แต่ศ. โคเฮนและแพทย์คนอื่นๆยังต้องยอมรับเกี่ยวกับกรณีการกลับมาเป็นโควิดใหม่หลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยแพ็กซ์ โลวิดแล้วซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหนึ่งถึงสองเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยในการวิจัยทางคลินิกครั้งแรกซึ่งส่งผลให้แพ็กซ์โลวิดได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าจากคำบอกเล่าโดยทั่วไปแล้วการกลับมาเป็นโควิดใหม่จะเกิดขึ้นสี่หรือห้าวันหลังจากการรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดเป็นเรื่องที่พบบ่อยมากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนว่าเหตุใดทำให้คนเป็นโควิดใหม่อีก หรือมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน และทำให้แพทย์ไม่แน่ใจว่าต้องคำนึงถึงเรื่องนี้หรือไม่เมื่อสั่งใช้ยา

ศาสตราจารย์ วาลิด เจลลัด (Prof. Walid Gellad) แพทย์อายุรกรรมและนักวิจัยด้านนโยบายด้านสุขภาพจากมหาวิทยาลัย พิตต์สเบิร์กคิดว่าความรู้สึกเกี่ยวความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเป็นไปได้เปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไปและเขาเริ่มมีความลังเลนิดๆ ที่เพิ่มมากกว่าเดิมในตอนเริ่มต้นสำหรับการสั่งใช้ยาแพ็กซ์โลวิด

ศ. เจลลัด และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ กล่าวว่าการวิจัยเกี่ยวกับการเป็นโควิดใหม่อีกครั้งเป็นเรื่องที่มีความเร่งด่วนมากขึ้นและเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับความสนใจมากพอที่จะถามคำถามว่า ‘ทำไมเราไม่รู้’ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และตั้งคำถามว่าทำไมในขณะนี้บริษัทยาถึงยังไม่รู้ถึงว่าการกลับมาเป็นโควิดใหม่โดยทั่วไปเป็นอย่างไร? และเหตุใดองค์การอาหารและยาไม่ยืนยันว่าเราต้องรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการกลับมาเป็นโควิดใหม่?

นพ. ฟาวซิ ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดน อาจเป็นกรณีที่ได้รับความสนใจสูงสุดเกี่ยวกับการกลับเป็นโควิด-19 ใหม่อีกครั้ง นพ. ฟาวซิ เพิ่งเจอกับการกลับเป็นโควิด-19 อีกหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยยาแพ็กซ์โลวิดคอร์สแรกและมีผลทำให้ได้รับยาคอร์สที่สองซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่ปกติ และเป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นขัดแย้งกัน ผู้เขียนข่าวระบุว่าไม่มีแพทย์คนใดที่ให้สัมภาษณ์สั่งใช้ยาแพ็กซ์โลวิดแก่ผู้ป่วยที่มีอาการป่วยโควิดใหม่เพราะเนื่องจากส่วนมากแล้วกรณีการกลับมาเป็นโควิดใหม่จะหายได้เองและอาการไม่ทรุดลงจนถึงกับต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต และไม่เป็นที่ชัดเจนสำหรับพวกเขาว่าการอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินอนุญาตให้ใช้ยาคอร์สที่สองหรือไม่ โดยแพทย์บางคนระบุว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการทางการแพทย์ของแต่ละรัฐ และมีแพทย์คนอื่นๆ ที่โต้เถียงกับทั้งสองด้าน

ศ. โคเฮน ยกตัวอย่างประกอบว่าเภสัชกรบางคนค่อนข้างมุ่งมั่นมาก ในบางครั้งที่ศ.โคเฮนพยายามที่จะสั่งให้ยาแพ็กซ์โลวิดเป็นคอร์สที่สองในช่วงเวลาที่สั้นมากเภสัชบางคนจะโต้เถียงกับเขาและปฏิเสธที่จะไม่สั่งยาซึ่งเรื่องที่ผิดปกติมากสำหรับเภสัชกร ส่วน นพ. ลี จากโรงพยาบาลบริกแฮมและสตรีชี้ให้เห็นว่าคำอนุญาตนั้นไม่ชัดเจนว่าการกลับมาเป็นโควิดใหม่นั้นเข้าข่ายเป็น “วันที่ศูนย์” ครั้งใหม่ของการเริ่มมีอาการเป็นโควิดหรือไม่

ในแถลงการณ์ถึง STAT สมาคมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวของอเมริกา (American Academy of Family Physicians) เตือนให้ใช้ความระมัดระวังใน “การสั่งจ่ายยาสำหรับการใช้นอกฉลากที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนอย่างเพียงพอ” และชี้ไปที่คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านสุขภาพของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาที่กล่าวว่า “ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าการรักษาเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็น” สำหรับการกลับมาเป็นโควิด-19 ใหม่ ทั้งองค์การอาหารและยาและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ไม่ตอบคำถามของ STAT เกี่ยวกับการสั่งใช้ยาแพ็กซ์โลวิดสำหรับแพทย์

ในที่สุดแล้วความสับสนเกี่ยวกับแพ็กซ์โลวิดซึ่งเป็นยาที่ได้รับการวิจัยเป็นส่วนใหญ่ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสผันแปรเดลต้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการอภิปรายในวงกว้างเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาผู้ป่วยในขณะที่ไวรัสวิวัฒนาการไปด้วยพร้อมๆกัน เมื่อไวรัสผันแปรโอมะครอนมาถึงโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monnclonal antibodies) ที่มีอยู่ซึ่งเคยเป็นแนวป้องกันหลักมีประสิทธิภาพลดลงกว่าเดิมในการป้องกันการติดเชื้อ องค์การอาหารและยาตอบสนองด้วยการเพิ่มปริมาณยาอีวูเชลด์ (Evusheld) (ที่เป็นโมโนโคลนอลสามชนิดผสมกันที่ผลิตโดยบริษัทแอสตราเซเนากา) เป็นสองเท่า แต่ห้ามการใช้แอนติบอดีของบริษัทอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) และของบริษัทรีเจนเนอรอน (Regeneron)  และหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาไม่แนะนำให้ใช้การป้องกันอื่นๆ อีกต่อไป

นพ. พอล แซ็กส์ (Dr. Paul Sax) ผู้อำนวยการทางคลินิกของแผนกโรคติดเชื้อของโรงพยาบาลบริกแฮมและสตรีมองข้ามการอภิปรายในปัจจุบันไป นพ. แซ็กส์กล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่แพ็กซ์โลวิดหรือยาอื่นจะได้รับการอนุมัติอย่างเต็มรูปแบบและมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย และเสริมว่าเขาสามารถมองเห็นอนาคตที่เราลงเอยด้วยการจัดการกับโควิด-19 ได้มากเท่ากับที่เราจัดการกับโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งเราให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสให้กับคนจำนวนมากที่เป็นไข้หวัดใหญ่หากพวกเขาเข้ารับการรักษาโดยเร็ว

สำหรับตอนนี้แพทย์และการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่สนับสนุนการรักษาด้วยแพ็กซ์โลวิดสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคร้ายแรง ส่วนการฟื้นกลับมาเป็นโควิดใหม่หรือไม่นั้น การป่วยหนักจนต้องได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตเท่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งนพ. ลี จะบอกกับผู้ป่วยของเขาว่าในที่สุดแล้วสองสิ่งนี้คือผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดและมันไม่ควรห้ามไม่ให้เราใช้ยาแพ็กซ์โลวิดในการรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคร้ายแรงเพราะเรารู้ว่ายาแพ็กซ์โลวิดได้ผล

____________________

[1] Fauci Says He Had Paxlovid Rebound, Worse Symptoms โดย Carolyn Wrist เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ใน https://www.medscape.com/viewarticle/976456 และ Fauci, Recovering From ‘Rebound’ of Covid, Praises Paxlovid โดย Sheryl Gay Stolberg เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ใน https://www.nytimes.com/2022/06/29/us/politics/fauci-paxlovid-covid.html

[2] Doctors are clamoring for more clarity on Paxlovid prescribing โดย Edward Chen เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ใน https://www.statnews.com/2022/07/07/paxlovid-prescribing-covid19-rebounds-data/

 

NEWS & EVENTS

ข่าวสาร

Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.