ทางเลือกในการฉีดยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์นาน

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

จากเวทีชุมชนเกี่ยวกับยาต้านไวรัสชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์นานสำหรับป้องกันเอชไอวีประเด็นสำคัญที่ได้รับการเอ่ยถึงมากประเด็นหนึ่งคือการฉีดยาในตำแหน่งอื่นของร่างกายแทนที่จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกซึ่งการฉีดยาในตำแหน่งอื่นอาจทำให้การจัดสรรบริการโดยองค์กรชุมชนเป็นไปได้ง่ายขึ้นและทำให้การฉีดยาด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ทำได้ด้วย ในการประชุมเอดส์นานาชาติ ครั้งที่ 24 ที่เมืองมอลทรีออล ประเทศคานาดา ที่เพิ่งผ่านไปมีการนำเสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในเวปไซด์ POZ มีข่าวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้[1]

ในการประชุมเอดส์นานาชาติ ครั้งที่ 24 ที่เมืองมอลทรีออล ประเทศคานาดา มีการเสนอผลของการวิจัยสองโครงการที่เกี่ยวกับการฉีดยาต้านไวรัสคาโบเทกราเวียร์ที่ออกฤทธิ์นานสูตรเข้มข้นที่บริเวณอื่นของร่างกาย เช่น ต้นขาหรือหน้าท้อง ที่อาจทำให้ผู้ใช้สามารถฉีดยาต้านไวรัสแคบเบนูวา (Cabenuva) ที่ใช้สำหรับรักษาเอชไอวี หรือยาต้านไวรัสแอพพรีจูด (Apretude) ที่ใช้สำหรับป้องกันการติดเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ (หรือเพร็พ – PrEP) ได้ด้วยตนเอง การฉีดด้วยตนเองนี้อาจช่วยในการฟันฝ่าอุปสรรคที่สำคัญประการหนึ่งของการขยายผลใช้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์นานในระดับกว้างได้

ทีมวิจัยของการวิจัยโครงการหนึ่งแสดงว่ายาคาโบเทกราเวียร์แบบฉีดสูตรเข้มข้นสูงมีความปลอดภัยและระดับยาใกล้เคียงเทียบเท่ากับยาสูตรที่ใช้กันในปัจจุบัน ส่วนทีมวิจัยอีกโครงการหนึ่งแสดงว่าการฉีดคาโบเทกราเวียร์ (cabotegravir) และริวพิวิริน (rilpivirine) ที่กล้ามเนื้อต้นขามีผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและมีลักษณะทางเภสัชจลนศาสตร์เทียบเท่ากับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพก

ยาฉีดคาโบเทกราเวียร์และริลพิวิรีนซึ่งขายรวมกันในหนึ่งกล่องมีชื่อทางการค้าว่า “แคบเบนูวา” (Cabenuva) เป็นยาต้านไวรัสชนิดแรกที่สมบูรณ์ในตัวที่ผู้ใช้ไม่ต้องกินยาชนิดเม็ดทุกวัน ส่วนยาฉีดคาโบเทกราเวียร์เพียงอย่างเดียวซึ่งขายในชื่อ แอพพรีจูด (Apretude) ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่แล้วสำหรับใช้ในการป้องกันการติดเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อหรือเพร็พที่ออกฤทธิ์ยาวนานชนิดแรก

ในปัจจุบันการใช้แคบเบนูวาเพื่อการรักษาเป็นการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อสะโพกสองเข็มโดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพทุกเดือนหรือทุกสองเดือน ส่วนแอพพริจูดเป็นการฉีดเดือนเว้นเดือน การฉีดยาแต่ละเข็มมีปริมาณยาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนโดยทั่วไป

กล่องยาแคบเบนูวาที่มียาฉีดคาโบเทกราเวียร์หนึ่งหลอดและยาริวพิวิรีนอยู่ภายในกล่องเดียวกัน/ ภาพโดย ViiV Healthcare ใน The New York Times

การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 สองโครงการแสดงว่าแคบเบนูวามีประสิทธิผลในการกดไวรัสให้อยู่ตำ่กว่าระดับที่จะวัดได้อย่างต่อเนื่อง การวิจัยแอทลาส (ATLAS) เป็นการวิจัยที่ประเมินการใช้แคบเบนูวาสำหรับสูตรธำรงรักษาสำหรับผู้ที่กินยาต้านไวรัสสูตรอื่นมาก่อนแล้วและมีผลการรักษาที่ดีสามารถกดไวรัสให้อยู่ในระดับที่ต่ำจนตรวจไม่พบอย่างต่อเนื่องได้ ส่วนการวิจัยแฟลร์ (FLAIR) เป็นการวิจัยในผู้ที่ไม่เคยได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสมาก่อนเลย และการวิจัยอีกสองโครงการคือเอชพีทีเอ็น 083 (HPTN 083) และการวิจัยเอชพีทีเอ็น 084 (HPTN 084) แสดงว่าแอพพรีจูดมีประสิทธิผลในการป้องกันเอชไอวีสูงกว่าเพร็บแบบที่กินยาต้านไวรัสทุกวันเป็นอย่างมาก

โดยรวมแล้วผู้เข้าร่วมการวิจัยของโครงการดังกล่าวมีความพึงพอใจเป็นอย่างมากต่อยาฉีดและกล่าวว่าพวกเขาต้องการใช้ยาชนิดฉีดมากกว่ายาเม็ดที่ต้องกินทุกวัน ข้อดีของยาฉีดที่ออกฤทธิ์นานที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยระบุรวมถึงไม่ต้องคิดถึงการรักษาหรือป้องกันเอชไอวีทุกวัน ไม่มีขวดยาที่อาจเปิดเผยสถานะภาพการมีเอชไอวีของตนหรือความเสี่ยงต่อเอชไอวีของตนให้ผู้อื่น และสำหรับบางคนหมายถึงวินัยในการใช้ยาที่ดีขึ้น แต่ผู้มีเอชไอวีที่ใช้แคบเบนูวาต้องไปพบผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่คลินิกเป็นจำนวน 6 หรือ 12 ครั้งต่อปีซึ่งบ่อยครั้งกว่าผู้ที่กินยาต้านไวรัสที่การรักษาจนได้ผลดีคงตัวแล้วและต้องไปตรวจปริมาณไวรัสเป็นประจำทุกปี ส่วนผู้ที่ไม่มีเอชไอวีและใช้ยาแอพพรีจูดในการป้องกันไวรัสต้องไปพบผู้ให้บริการเพื่อฉีดยาปีละ 6 ครั้งซึ่งบ่อยกว่าผู้ที่ใช้เพร็บชนิดกินทุกวันที่ควรต้องไปตรวจการติดเอชไอวีทุกๆไตรมาสตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสาธารณสุข

คาโบเทกราเวียร์สูตรเข้มข้น (High-Concentration Cabotegravir)

การวิจัยโครงการแรก ดร. พอล เบน  (Dr. Paul Benn) จากบริษัทวีฟ (ViiV) และทีมทำการประเมินความปลอดภัย ความทนทานของร่างกายต่อยา และเภสัชจลนศาสตร์ของยาคาโบเทกราเวียร์ที่ออกฤทธิ์นานสูตรเข้มข้นสูงในผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ไม่ติดเอชไอวีและมีสุขภาพดีจำนวน 88 คน อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมการวิจัยเท่ากับ 34 ปี และประมาณ 40% ของผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นผู้หญิง และ 14 คน (16%) มี ดัชนีมวลกายที่ถือว่าอ้วน

คาโบเทกราเวียร์ที่ใช้ในการรักษาที่ฉีดทุกเดือนหรือที่ฉีดเดือนเว้นเดือนมีปริมาณยา 200 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร (มก./มล.) ในหนึ่งหลอด ส่วนคาโบเทกราเวียร์สูตรเข้มข้นที่ใช้ในการทดลองมีปริมาณยา 400 มก./มล. ซึ่งหมายถึงว่ายาออกฤทธิ์มากเป็นสองเท่าในหนึ่งหลอด คาโบเทกราเวียร์สูตรเข้มข้นถูกพัฒนามาเพื่อรองรับการให้ยาที่ไม่บ่อยนักหรืออาจเพื่อการฉีดยาด้วยตนเองโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือที่ต้นขา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเฉพาะคาโบเทกราเวียร์ที่ออกฤทธิ์นานเท่านั้น สำหรับการรักษาด้วยตนเองอาจจำเป็นต้องใช้ยาริวพิวิรินที่เข้มข้นกว่านี้ร่วมด้วย

หลังจากการกินยาคาโบเทกราเวียร์ชนิดเม็ดเป็นเวลา 28 วัน ผู้เข้าร่วมการวิจัยสี่กลุ่มได้รับยาฉีดสำหรับฉีดทุกเดือนสองหลอดซึ่งมีปริมาณยาต่างกัน (200 มก./มล. ถึง 600 มก./มล.) สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่สะโพก หรือฉีดต้นขาด้านนอก หรือฉีดใต้ผิวหนังที่ท้อง ผู้เข้าร่วมการวิจัยกลุ่มที่ห้าได้รับยาฉีดปริมาณที่สูงกว่า (800 มก./มล.) เพียงครั้งเดียวที่สะโพกเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการฉีดยาทุกสามเดือน ในแต่ละกลุ่มจะมีผู้เข้าร่วมการวิจัยบางคนที่ได้รับฉีดยาในปริมาณ 200 มก./มล. ซึ่งเป็นสูตรมาตรฐานเพื่อเป็นการเปรียบเทียบ

โปสเตอร์ที่แสดงผลการวิจัยนี้ในการประชุมเอดส์ 2022 อธิบายถึงค่ากำหนด (parameters) ของเภสัชจลนศาสตร์ต่างๆที่รวมถึงความเข้มข้นของยาที่สูงสุด ความเข้มข้นของยาในระดับที่ต่ำที่สุดระหว่างการฉีดแต่ละเข็ม (trough concentration) ความเข้มข้นของยาเมื่อสี่อาทิตย์ เวลาที่ความเข้มข้นของยาลดลงครึ่งหนึ่งจากระดับเดิม (terminal half-life) และอัตราการดูดซับยา

โดยรวมแล้วค่ากำหนดของเภสัชจลนศาสตร์ที่ถูกปรับให้เป็นมาตรฐานแล้วของยาสูตรเข้มข้น (400 มก./มล.) คล้ายกันหมดในทุกโด๊สและวิธีการฉีด แต่ค่าครึ่งชีวิต (เวลาที่ความเข้มข้นของยาลดลงครึ่งหนึ่งจากระดับเดิม) จะสั้นกว่าสูตรมาตรฐาน​ (200 มก./มล.) 60% และอัตราการดูดซับยาจะสูงกว่าสูตรมาตรฐาน 160% ซึ่งหมายความว่ายาสูตรเข้มข้นถูกดูดซับเร็วกว่าทำให้ค่าครึ่งชีวิตสั้นลง การฉีดยาสูตรเข้มข้นทุกสี่อาทิตย์มีความเข้มข้นของยาในเลือดเท่ากับสูตรมาตรฐาน แต่การทิ้งช่วงที่นานกว่านั้นอาจต้องฉีดยาในปริมาณที่สูงขึ้นไปอีกซึ่งนักวิจัยคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

ผู้เข้าร่วมการวิจัยส่วนใหญ่ประสบกับปฏิกิริยาในบริเวณที่ฉีด เช่น ปวด บวม บริเวณที่ฉีดแข็งตัวหรือเป็นรอยแดง แต่อาการเหล่านี้โดยมากมักไม่รุนแรงและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อาการบวม การแข็งตัว และบวมพบบ่อยมากหลังการฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ คะแนนของอาการปวดที่สูงที่สุดจากการรายงานของผู้เข้าร่วมการวิจัยเกิดขึ้นในวันที่ 5 หลังจากฉีด ซึ่งคะแนนของอาการปวดของการฉีดยาที่ต้นขาหรือหน้าท้องค่อนข้างสูงกว่าการฉีดยาที่สะโพก แต่นักวิจัยเตือนว่าจำนวนที่เกี่ยวข้องค่อนข้างต่ำ แม้ว่าอาการปวดจากการฉีดยาจะเป็นเรื่องปกติ แต่ผู้เข้าร่วมการวิจัยส่วนใหญ่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ารำคาญเพียงเล็กน้อย และส่วนใหญ่ยอมรับได้

อาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ประเภทอื่นพบไม่บ่อยนัก ผู้เข้าร่วมการวิจัย 12 คนมีอาการข้างเคียงที่รุนแรง (ระดับ 3) และผู้เข้าร่วมการวิจัย 5 คนต้องหยุดการวิจัยหลังจากการฉีดครั้งแรกเพราะเหตุนี้ โดยรวมแล้วนักวิจัยสรุปว่าข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของยาสูตรเข้มข้น 400 มก./มล. และของยาสูตรมาตรฐาน 200 มก./มล. มีความคล้ายคลึงกัน

จากผลของการวิจัยนี้ ทีมงานของเบนสรุปว่ายาคาโบเทกราเวียร์สูตรเข้มข้นขนาด 400 มก./มล. มีแนวโน้มในการเพิ่มทางเลือกสำหรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์ยาว และผลเกี่ยวกับความปลอดภัยและข้อมูลด้านเภสัชจลนศาสตร์จากการวิเคราะห์ในระหว่างการวิจัยเหล่านี้สนับสนุนการประเมินผลทางคลินิกเพิ่มเติมอีก

การฉีดแคบเบนูวาที่ต้นขา

ในการวิจัยโครงการที่สอง ดร. คีลอง ฮาน (Dr. Kelong Han) จากบริษัทแกล็กโซสมิธไคลน์ (GlaxoSmithKline) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทวีฟ และทีมงานได้ประเมินเภสัชจลนศาสตร์และความทนทานของแคบเบนูวาที่ฉีดที่ต้นขาด้านนอกแทนที่จะเป็นการฉีดที่สะโพก วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถฉีดยาได้ด้วยตนเองและเป็นทางเลือกของบริเวณที่ฉีดในกรณีที่การฉีดที่สะโพกไม่สามารถทำได้หรือไม่สามารถทนได้

การวิจัยนี้รวมผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ไม่ติดเอชไอวีและมีสุขภาพดีจำนวน 15 คน โดยที่ผู้เข้าร่วมการวิจัย 6 คนเป็นสตรี และหญิงคนหนึ่งถอนตัวก่อนกำหนดเนื่องจากตั้งครรภ์ อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมการวิจัยเท่ากับ 33 ปี และจำนวนคนผิวขาวและคนผิวดำเป็นจำนวนเท่าๆ กัน

หลังจากการเริ่มต้นด้วยการกินยาคาโบเทกราเวียร์และยาริวพิวิรินชนิดเม็ดแล้ว ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะได้รับฉีดยาคาโบเทกราเวียร์ 600 มก. และยาริลพิวิรินอีก 900 มก. ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของการฉีดแบบเดือนเว้นเดือนโดยเป็นการฉีดยาที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านข้าง (vastus lateralis) การวิจัยทำการติดตามผลด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นเวลาหนึ่งปี

ทีมวิจัยตรวจดูค่ากำหนดของเภสัชจลนศาสตร์ที่รวมถึงความเข้มข้นสูงสุดของยา ความเข้มข้นของยาในระดับที่ต่ำที่สุดระหว่างการฉีดแต่ละเข็ม ความเข้มข้นของยาในอาทิตย์ที่สี่ และปริมาณยาที่ได้รับทั้งหมดตลอดช่วงเวลาหลังจากการฉีดเข้าต้นขา ผู้เข้าร่วมการวิจัยมีความเข้มข้นของยาสูงกว่าระดับของยาที่มีฤทธิ์เพียงพอต่อการป้องกันและอยู่ในช่วงเดียวกันกับการฉีดที่สะโพก

ปฏิกิริยาในบริเวณที่ฉีดเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกับการวิจัยโครงการแรก แต่อาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น หนาวสั่น ปวดหัวและนอนไม่หลับเป็นเรื่องผิดปกติที่ไม่พบมากนัก และไม่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง ผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้งหมดรายงานว่ามีอาการปวดบริเวณที่ฉีด และประมาณครึ่งหนึ่งรายงานว่าบริเวณที่ฉีดแข็งกระด้างหรือบวม อาการเหล่านี้มักจะไม่รุนแรง (79%) หรือเป็นอาการปานกลาง (15%) และเกิดขึ้นเป็นเวลาเฉลี่ยแปดวัน นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าระดับความเจ็บปวดจะสูงขึ้นในไม่ช้าหลังจากการฉีดริวพิวิรีน เมื่อเทียบกับการฉีดยาคาโบเทกราเวียร์

นักวิจัยของโครงการนี้สรุปว่าผลที่ได้จากการวิจัยนี้สนับสนุนการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อต้นขาในกลุ่มประชากรเป้าหมาย

ผลของการวิจัยทั้งสองโครงการอาจช่วยให้การขยายผลใช้ยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์นานทั้งเพื่อสำหรับรักษาผู้มีเอชไอวี หรือสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการติดเอชไอวีเป็นไปได้ง่ายขึ้น รวมถึงการกระจายบทบาทหน้าที่ในการฉีดยาให้แก่องค์กรชุมชนในพื้นที่หรือในการฉีดยาด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่าในทางปฏิบัติจริงการฉีดยาจะเป็นเช่นไรก็ตาม การติดตามประเมินผลและการเชื่อมโยงและส่งต่อบริการที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้มีเอชไอวีและบริการด้านการป้องกันเอชไอวีในระดับต่างๆและระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องยังเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอยู่ การฉีดยาด้วยตนเองหรือโดยเจ้าหน้าที่ขององค์กรชุมชนไม่ได้หมายถึงการตัดผู้ใช้บริการหรือองค์กรชุมชนออกจากระบบการดูแลรักษาและการป้องกันเอชไอวีของระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างสิ้นเชิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์นานได้รับการสนับสนุนทางด้านงบประมาณจากรัฐบาล

___________________

[1] Could Cabenuva and Apretude Injections Be Self-Administered? โดย Liz Highlyman เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ใน https://www.poz.com/article/cabenuva-apretude-injections-selfadministered

NEWS & EVENTS

ข่าวสาร

Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.