บทความโดย  อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

บทความเกี่ยวกับนักมานุษยวิทยาแขนงที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนเผ่าพันธุ์ต่างๆ (ethnographers)[1] ได้เรียนรู้จากผู้ใช้สารเสพติดสรุปว่า “ชาติพันธุ์วิทยา (หรือ ชาติพันธุ์วรรณนา) ทำให้เกิดข้อค้นพบที่สำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติด แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้กลับมองว่าตนเองเป็นตัวรอง” ผู้เขียนบทความนี้อธิบายถึงความสำคัญของการวิจัยที่ถูกมองข้ามมาเป็นเวลายาวนาน[2]

สีและความสม่ำเสมอเฮโรอีนแบบปั้นเป็นลูกกลอน (black tar heroin) มักถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับขนมทูทซี่​โรล (Tootsie Roll) เพราะการที่จะทำให้ลูกกลอนเฮโรอีนนุ่มเหนียวเกือบจะเป็นของเหลวเพื่อให้มันผ่านรูเข็มฉีดยาได้ผู้ใช้จะต้องเอาลูกกลอนเฮโรอีนแช่ในน้ำร้อนใกล้เดือด และหลังจากฉีดยาแล้วผู้ใช้จะต้องล้างเข็มฉีดยาด้วยการฉีดน้ำดันเศษเฮโรอีนที่ตกค้างอยู่ในหลอดฉีดและเข็มหลายๆครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้สารที่ตกค้างอยู่ในหลอดและเข็มตกผลึกคล้ายกับนำ้ตาลไหม้ก้นกะทะ (หรือ กาละแม)

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 นักวิจัยสองคนได้บันทึกรายละเอียดเหล่านี้อย่างเป็นระบบเมื่อพยายามอธิบายถึงปริศนาที่ยังค้างคาใจอยู่ของการแพร่ระบาดของโรคเอดส์: เหตุใดผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้มีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีต่ำกว่าคนที่คล้ายกันจากพื้นที่อื่น ในที่สุดการสังเกตของพวกเขากลายเป็นข้อมูลพื้นฐานของเอกสารทางวิชาการที่เผยแพร่ในปีคศ. 2003 ซึ่งเอกสารนั้นตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่เมืองฮูสตันถึงเมืองลอสแองเจลิสถึงเมืองซีแอตเทิล เฮโรอีนที่มีอยู่ส่วนใหญ่คือเฮโรอีนลูกกลอนดำ (หรือเฮโรอีนทาร์ดำ) ไม่ใช่เฮโรอีนที่เป็นแบบผงที่ใช้กันโดยทั่วไปในชายฝั่งตะวันออก ผู้เขียนรายงานตั้งสมมติฐานว่าในบรรดาปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง การต้มน้ำและการชะล้างเข็มลดความเป็นไปได้ของการแพร่เอชไอวีจากการใช้อุปกรณ์สำหรับฉีดยาเสพติดร่วมกัน

การสังเกตและสมมติฐานเหล่านี้เป็นไปได้เพราะศาสตราจารย์ฟิลลิป บูกัวส์ (Professor Philippe Bourgois) และศาสตราจารย์ นพ. แดน ชิคาโรนิ (Professor Dan Ciccarone) ได้หมกตัวเองในหมู่คนที่ใช้เฮโรอีน ซึ่งการทำเช่นนั้นเป็นการนำเอาแนวทางด้านชาติพันธุ์วิทยาไปปฏิบัติจริง ซึ่งชาติพันธุ์วิทยาเป็นแนวทางการวิจัยที่พยายามทำความเข้าใจว่าคนคิดและประพฤติตนอย่างไรในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของเขาโดยผ่านการสังเกต การสัมภาษณ์ และการใช้คำถามแบบปลายเปิด ในอดีตมีการใช้การวิจัยชาติพันธุ์วิทยาในหลากหลายสาขารวมถึงการใช้สารเสพติดและการเสพติด ในขณะที่การระบาดของยาเสพติดตระกูลฝิ่นก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สามและการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 100,000 คนต่อปี นักวิทยาศาสตร์ทางสังคมบางคนจึงกล่าวว่าการวิจัยแนวทางนี้เป็นความเร่งด่วนใหม่

รองศาสตราจารย์ นพ. ไรอัน แมคนิล (Assistant Professor Ryan McNeil) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเยลกล่าวว่าวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขที่ผ่านมาตอกย้ำถึงความจำเป็นของการทำความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับพลังต่างๆที่ขับเคลื่อนความเสี่ยงและอันตราย การพูดคุยกับคนและการสังเกตซึ่งเป็นวิธีการของนักชาติพันธุ์วิทยาจะสามารถให้ข้อมูลประเภทนี้ได้อย่างแม่นยำเช่นเดียวกับการวิจัยประเภทอื่นๆที่เน้นประสบการณ์ชีวิตของผู้ที่มีความเสี่ยง

แต่นักชาติพันธุ์วิทยามักจะมองว่าตนเองเป็นตัวรองเพราะพวกเขามักจะถูกเบียดออกจากแหล่งทุนและอิทธิพลที่เกี่ยวข้อง การสำรวจขนาดใหญ่ซึ่งผู้คนหลายพันคนส่งคำตอบสำหรับคำถามชุดเดียวกันถูกถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีกว่าของผู้คนจำนวนมากที่มีความแตกต่างกัน และการวิจัยแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม เช่น การวิจัยที่ทดสอบประสิทธิผลของการรักษาสำหรับการใช้สารเสพติดถูกอธิบายมานานแล้วว่าเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับการวิจัยที่ศึกษาถึงสาเหตุและผลกระทบ และได้รับการยกย่องว่ามีศักยภาพในการลดอคติ ในทางตรงกันข้ามข้อมูลที่รวบรวมได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบไม่มีโครงสร้างที่มีคนจำนวนน้อยให้สัมภาษณ์อาจถูกมองข้ามว่าเป็นเพียงการบอกเล่าเท่านั้น

นพ. ชิคาโรนิ ซึ่งปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์และนักวิจัยด้านสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก กล่าวว่าเขาเข้าใจถึงแรงดึงดูดใจและความน่าสนใจของวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยที่มีพื้นฐานทางห้องปฏิบัติการ แต่เขาคิดว่านักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายมักจะประเมินค่าของสิ่งที่แนวทางเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้สูงเกินไป นพ. ชิคาโรนิกล่าวว่า “ในวงการยามันคือเทพเจ้าจอมปลอม ซึ่งเราคิดว่าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามเราจะต้องหาสารเคมีที่ถูกต้องให้ได้ หรือค้นหาเส้นทางของเอนไซม์ที่ถูกต้องจนได้ ซึ่งคำตอบทั้งหมดจะได้มาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มงวดและมีระเบียบวินัยเท่านั้น”

ข้อบ่งชี้บางอย่างแนะว่ามุมมองแบบเก่ากำลังเปลี่ยนไปเนื่องจากการศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยาได้นำเอาประสบการณ์ของผู้ที่ใช้ยาเสพติดขึ้นมาสู่แนวหน้า และเนื่องจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้กำหนดนโยบายจำนวนมากขึ้นได้พิจารณาว่าการใช้สารเสพติดเป็นเรื่องของสาธารณสุขมากกว่าเป็นเรื่องของการทำความผิดทางอาญา นักชาติพันธุ์วิทยาที่เกี่ยวข้องกับข้อสรุปที่ละเอียดอ่อนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเรื่องมาเป็นเวลายาวนานและเป็นข้อสรุปที่มักจะไม่สอดคล้องกับสงครามยาเสพติดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอดีตเสมอไปกำลังทดสอบว่าประเทศจะยอมรับและตอบสนองต่อการเรียนรู้เกี่ยวกับคนที่รัฐบาลเคยลงโทษและแม้กระทั่งยอมรับการเรียนรู้จากผู้คนที่เคยถูกรัฐบาลลงโทษได้อย่างไร?

ในการแถลงข่าวเมื่อเดือนมิถุนายน คศ. 1971 ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ประธานาธิบดีในขณะนั้นประกาศว่าการใช้ยาเสพติดเป็น “ศัตรูอันดับหนึ่งต่อสาธารณชน” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามต่อต้านยาเสพติดของประเทศและกลายเป็นแนวทางนโยบายที่ใช้กันมาโดยตลอดเป็นเวลานานหลายทศวรรษ และเป็นแนวทางที่ถือได้ว่าเน้นการตัดสินโทษจำคุกที่รุนแรงและการงดเว้นการใช้ยาเสพติดโดยเด็ดขาด สถาบันแห่งชาติว่าด้วยการใช้ยาเสพติดซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของรัฐบาลกลางที่ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับการใช้ยาถูกจัดตั้งขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อมา ศาสตราจารย์ ริกกี้ บลูเทนทาล (Professor Ricky Bluthenthal) รองคณบดีฝ่ายความยุติธรรมทางสังคมของวิทยาลัยเคกของมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนียใต้ (Keck School of University of Southern California) กล่าวว่าวิธีการเกี่ยวกับชาติพันธุ์วิทยาถูกถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย แต่นับเป็นเวลาหลายปีที่นักวิทยาศาสตร์ที่ให้ความสนใจต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ยาเสพติดประสบความล้มเหลวและไม่สามารถดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากได้

สิ่งนี้เริ่มเปลี่ยนไปในทศวรรษ 1980 เนื่องจากการใช้โคเคนผนึก (crack cocain) มีเพิ่มมากขึ้นและการระบาดของเอชไอวี/เอดส์ที่กำลังเริ่ม โรคระบาดทั้งสองแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดความกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับความเสื่อมโทรมและความปลอดภัยของชุมชนเมือง แต่กลุ่มวิจัยชาติพันธุ์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆได้กัดกร่อนการสนับสนุนสำหรับกฎหมายต่อต้านยาเสพติดที่เข้มงวด การทำงานในช่วงแรกๆกับผู้ที่ใช้ยาฉีดเข้าเส้นเสนอว่า เช่น การแจกจ่ายเข็มฉีดยาอาจช่วยลดการแพร่เอชไอวีได้ ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่ได้รับการยืนยันในภายหลังจากผลของการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางคนเริ่มยอมรับสิ่งเหล่านี้และการค้นพบอื่นๆที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของมาตราการลดอันตราย ซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นการจำกัดความเสียหายที่เกิดจากยาแทนที่จะพยายามกำจัดการใช้ยาเสพติดโดยการละเว้นและการลงโทษทางอาชญากรรม ถึงกระนั้นก็ตามประชากรจำนวนมากในสหรัฐอเมริกายังมองว่าการแจกจ่ายเข็มฉีดยาเป็นการรับรองการใช้ยาโดยปริยาย ดังนั้นวิธีการเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคงไว้ได้

ศ. บลูเทนทาล เขียนในวิทยานิพนธ์ของเขาเมื่อปีคศ. 1998 เกี่ยวกับความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติในอัตราการติดเอชไอวีของกลุ่มผู้ที่ใช้ยาทางหลอดเลือด เขากล่าวว่าในขณะนั้นชาติพันธุ์วรรณนาถูกมองด้วยความเคลือบแคลงเพราะในส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าคนที่ใช้ยานั้นถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ และแม้กระทั่งถูกมองว่าไม่น่าไว้วางใจโดยนักวิจัยบางคน นอกจากนั้นความกังวลเกี่ยวกับความถูกต้องของการวิจัยชาติพันธุ์วิทยายังคงมีอยู่ ศ. บูลเทนทาลอธิบายว่า “มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับนักระบาดวิทยาบางคนที่จะพูดว่า ‘โอ้ การศึกษานี้ไม่มีตัวอย่างที่พิงหลักการความน่าจะเป็นไปได้ และพวกเขาคุยกับคนเพียง 40 คนเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีทั้งความเข้มงวดและสิ่งที่จะสามารถสรุปโดยทั่วไปได้ ดังนั้นทำไปทำไม?’”

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ทัศนคติของสาธารณชนต่อผู้ที่ใช้ยาเสพติดเริ่มเปลี่ยนไป โดยนักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้ถือว่าการใช้ยาเสพติดเป็นเรื่องของสาธารณสุขไม่ใช่เรื่องอาชญากรรม ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากปัญหาพื้นฐานเกี่ยวกับการเหยียดผิวและอคติทางเชื้อชาติของประเทศ โคเคนผนึกถูกมองว่าเป็นยาที่ใช้โดยคนผิวดำในเขตเมือง แต่การระบาดของการใช้ฝิ่นเกิดขึ้นในพื้นที่ของคนผิวขาวก่อน ในการสัมมนาผ่านเว็บซึ่งจัดเมื่อปีที่แล้วโดยกลุ่มพันธมิตรสำหรับนโยบายด้านยา พญ. ชินาโซ คันนิงแฮม (Dr. Chinazo Cunningham) นักวิจัยจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) กล่าวว่าเธอรู้สึกซาบซึ้งกับแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ฝิ่นที่เห็นอกเห็นใจมากขึ้นในขณะนี้ แต่เธอกล่าวเสริมว่า “วิธีที่เรามาถึงจุดนี้เป็นเรื่องหวานอมขมและมีปัญหามากมาย”

ในปีคศ. 2020 อัตราการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดสำหรับคนผิวดำมีมากกว่าคนผิวขาวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นของการระบาดของการใช้ยาเสพติดประเภทฝิ่น และจำนวนผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดทั้งหมดในสหรัฐอเมริกายังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับยาเสพติดก็เพิ่มขึ้นเช่นกันแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นพียงเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับปีงบประมาณปีคศ. 2003 สถาบันแห่งชาติว่าด้วยการใช้ยาเสพติด (หรือ นิด้า – NIDA) ได้ตั้งงบประมาณไว้ประมาณ 968 ล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) งบประมาณที่เสนอของประธานาธิบดีไบเดนสำหรับปีงบประมาณ 2023 ระบุจำนวนเงินมากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์

เป็นการยากที่จะบอกว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์วรรณนามากแค่ไหน สถาบันสุขภาพแห่งชาติซึ่งนิด้า (NIDA) เป็นส่วนหนึ่งไม่ได้ติดตามประเมินการใช้จ่ายในโครงการด้านชาติพันธุ์โดยเฉพาะ ในปัจจุบันจากฐานข้อมูลที่ค้นหาได้มีโครงการ 2,863 โครงการที่นิด้าเป็นหน่วยงานหลัก ในจำนวนนี้มี 28 โครงการที่คำอธิบายโครงการมีคำว่า “ชาติพันธุ์” รวมอยู่ด้วย แม้ว่าโฆษกของสถาบันกล่าวว่าข้อมูลนี้อาจไม่ครอบคลุมโครงการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางชาติพันธุ์ (นักวิจัยทุกคนที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องการศึกษาที่ได้รับทุนสนับสนุนจากนิด้าอย่างน้อยหนึ่งครั้ง)

ดร. นพ. คาร์ลอส บลังโก (Dr. Carlos Blanco) ผู้อำนวยการแผนกระบาดวิทยา การวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันและบริการ (Division of Epidemiology, Services and Prevention Research) ของนิด้าเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียก่อนที่จะมาทำงานที่นิด้าและได้รับทุนสนับสนุนในการวิจัยทั้งด้านชาติพันธุ์วิทยาและระบาดวิทยา ในการให้สัมภาษณ์กับ Undark เขากล่าวว่างานที่เน้นประสบการณ์ชีวิตของคนที่ใช้ยาเสพติดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางปฏิบัติของนิด้านับตั้งแต่เมื่อเริ่มก่อตั้งหน่วยงาน แต่เห็นพ้องกันว่าขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กลยุทธ์การวิจัยแบบองค์รวมมากขึ้น ในช่วงเริ่มต้นของอาชีพของดร. บลังโก นักชีววิทยาและนักสังคมศาสตร์มักจะหมกมุ่นอยู่กับงานของตนอย่างโดดเดี่ยวไม่ยุ่งกับใคร ดร. บลังโกกล่าวว่า “ผมคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปมีการยอมรับในวงการมากขึ้นว่าการทำงานโดดเดี่ยวไม่ยุ่งกับใครไม่มีประโยชน์อย่างยิ่ง”

เมื่อมุมมองต่อผู้ที่ใช้ยาเสพติดได้เปลี่ยนไปนโยบายด้านสาธารณสุขที่มีรากฐานจากมาตราการลดอันตรายมีเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ในปีคศ.  2021 โครงการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยาซึ่งอนุญาตให้ผู้ที่ใช้ยาเสพติดแลกเปลี่ยนเข็มที่ใช้แล้วกับเข็มที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วได้รับอนุมัติใน 39 รัฐและกรุงวอซิงตัน ดี.ซี. และเมื่อฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้วเมืองนิวยอร์กเปิดศูนย์บริการสองแห่งแรกของประเทศที่อนุญาติการใช้ยาเสพติดอย่างปลอดภัยที่ผู้ใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายสามารถใช้ยาได้ที่ศูนย์โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำของศูนย์คอยดูเพื่อเฝ้าระวังอาการของการใช้ยาเกินขนาด

การวิจัยที่เน้นประสบการณ์ของผู้เสพยาได้ช่วยให้ข้อมูลสำหรับความคิดริเริ่มเหล่านี้ การวิจัยการใช้ยาเสพติดด้วยการฉีดเข้าเส้นที่กล่าวถึงแล้วเป็นหลักฐานที่สนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนเข็ม และผลจากการศึกษาโดยใช้วิธีการทางชาติพันธุ์วิทยาได้กระตุ้นให้นักวิจัยแนะนำการเข้าถึงยานาล็อคโซน (naloxone) ที่ดีขึ้น ซึ่งนาล็อคโซนเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันเพื่อแก้การใช้ยาเกินขนาดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต รัฐคอนเนตทิคัตและเนวาดาแนะนำโครงการแจกจ่ายแถบตรวจสำหรับยาเฟนทานิล ทั้งสองรัฐอ้างถึงการพยากรณ์ของการวิจัยฟอร์แคส (Forecast) หรือการวิจัยการวิเคราะห์การลดยาเกินขนาดของยาเฟนทานิล (Fentanyl Overdose Reduction Checking Analysis) ซึ่งรวมถึงการสัมภาษณ์ผู้เสพยามากกว่า 300 คน

เฟนทานิลเป็นสารฝิ่นสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์แรงกว่าเฮโรอีนถึง 50 เท่า เฟนทานิลกลายเป็นยาที่แพร่หลายในการขายยาเสพติดของประเทศ และถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดที่เพิ่มมากขึ้น

นักชาติพันธุ์วิทยาไม่รีรอที่จะให้เครดิตในการมีส่วนร่วมของผู้ที่ใช้ยาเสพติดในการกำหนดแนวทางการใช้อย่างปลอดภัย ดร. ชานา แฮร์ริส (Dr. Shana Harris) นักมานุษยวิทยาด้านวัฒนธรรมและการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเซ็นทรัลฟลอริดาและรองประธานกลุ่มการศึกษาแอลกอฮอล์ ยาเสพติด และยาสูบของสมาคมมานุษยวิทยาการแพทย์กล่าวว่า “การลดอันตรายส่วนใหญ่คือความจริงที่ว่าผู้ที่ใช้ยาเสพติดไม่ควรถูกตัดออกจากการปรึกษาหารือ ไม่ควรถูกละออกจากกระบวนการตัดสินใจและความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น พวกเขาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริการและโครงการประสบความสำเร็จ”  และเน้นว่า “เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่กันพวกเขาออกไปจากความพยายามที่จะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น”

สำหรับนักวิจัยชาติพันธุ์วิทยาบางคนแนวทางนี้ไม่ได้หมายความเพียงแค่การบันทึกประสบการณ์ของผู้เสพยาเท่านั้น แต่หมายถึงการรวมเอาสิ่งเหล่านี้เข้ากับกระบวนการวิจัยด้วย บทความล่าสุดที่รศ. แมคนิล คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเยลเป็นผู้เขียนร่วมเกิดจากการสัมภาษณ์ที่ศูนย์การใช้ยาภายใต้การกำกับดูแลและบางส่วนมาจากนักวิจัยที่ “อาศัยอยู่ในละแวกนั้นและมีประสบการณ์จริงในการใช้ยาเสพติดที่ผิดกฏหมายและได้รับการอบรมเกี่ยวกับการวิจัยแล้ว” รศ.​แมคนิล กล่าวว่าการออกแบบการวิจัยในลักษณะนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลการวิจัยสะท้อนถึงความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในท้องที่อย่างเพียงพอ เรื่องนี้สำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากการใช้เฟนทานิลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้ยาที่ผิดกฎหมายมีความรุนแรงถึงตายมากขึ้น

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคมเกี่ยวกับการตอบสนองของฝ่ายบริหารของไบเดนต่อการแพร่ระบาดของฝิ่น ทำเนียบขาวระบุว่า “ได้รวมถึงข้อมูลของผู้ที่ใช้ยาเสพติดในการออกแบบมาตรการลดอันตราย” และจะเป็นการปรึกษาหารือกับ “คณะกรรมการอำนวยการที่ประกอบด้วยผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตจริงทั้งหมด”

ในขณะที่อุปสรรคทางการเมืองบางอย่างเริ่มจางหายไป การค้นพบบางอย่างของชาติพันธุ์วิทยาอาจยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายสภาพที่เป็นอยู่เดิม (status quo) ต่อไปอยู่ เอกสารทางวิชาการฉบับหนึ่งจากปีคศ. 2020 เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ “ผลด้านการป้องกันของผู้ค้าที่เชื่อถือได้” ในบริบทของวิกฤตยาเสพติดตระกูลฝิ่น จากการสัมภาษณ์ผู้ที่ใช้ยาเสพติดของเมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์แสดงว่าสำหรับหลายคนที่มีความสัมพันธ์อันยาวนานกับผู้ค้ายาเสพติด ความสัมพันธ์นี้เป็นวิธีที่ทำให้พวกเขาใช้ยาเสพติดได้อย่างปลอดภัยท่ามกลางการมีเฟนทานิลในตลาดมากขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งรายงานว่าพ่อค้ายาของเธอเห็นข่าวเกี่ยวกับคนที่ใช้ยาเกินขนาดที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต เขาตระหนักว่าบุคคลดังกล่าวเป็นลูกค้ารายหนึ่งของเขาและเฮโรอีนที่เขาขายให้มีสารเฟนทานิลปนเปื้อนอยู่ ดังนั้นเขาจึงโทรหาผู้หญิงคนนั้นเพื่อบอกให้เธอทิ้งยาของเธอและเสนอเปลี่ยนยาให้ใหม่โดยมีส่วนลดให้ การบังคับใช้กฎหมายนำไปสู่การจับกุมผู้ค้ายาระดับล่างมาเป็นเวลานานโดยหวังว่าพวกเขาจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ค้ารายใหญ่ต่อไป แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์นี้อาจเพิ่มการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดโดยการผลักให้ผู้ที่ติดยาเสพติดต้องซื้อยาเสพติดจากแหล่งที่ไม่รู้จักมาก่อน

รศ. แมคนิลผู้เขียนเอกสารวิชาการเกี่ยวกับบทบาทของผู้ค้ายาในการลดอันตรายยอมรับว่าความเชื่อที่ฝังลึกเกี่ยวกับ ธรรมชาติของการเป็นนักล่าเหยื่อของผู้ค้ายาเสพติดเป็นอุปสรรคขวางทางของการผสมผสานพวกเขาเข้ากับการทำงานด้านสาธารณสุขเพื่อลดการใช้ยาเกินขนาด แต่รศ. แมคนิล คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เหตุผลที่การวิจัยจะหลีกเลี่ยงการซักถามเกี่ยวกับบทบาทของผู้ค้ายาต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติดไม่ว่าบทบาทนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีหรือเลวก็ตาม ชาติพันธุ์วรรณนาซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นหลักฐานระดับล่างในการศึกษาการใช้ยาเสพติดมาอย่างยาวนานสามารถค้นหาสิ่งที่วิธีการอื่นพลาดไป

ไรอัน แมคโดนัล (Ryan McDonald) ผู้เขียนบทความนี้เป็นผู้สื่อข่าวอิสระจากแคลิฟอร์เนียตอนใต้ นอกจากงานเกี่ยวกับสื่อแล้วเขายังเป็นทนายความและทำงานอาสาสมัครเป็นครั้งคราวเกี่ยวกับกรณีการย้ายถิ่นฐาน

 

____________

[1] ในที่นี้จะเรียกนักมานุษยวิทยาแขนงที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนเผ่าพันธุ์ต่างๆว่า “นักชาติพันธุ์วิทยา”

[2] จาก What Ethnographers Have Learned from People Who Use Drugs โดย Ryan McDonald เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 ใน https://undark.org/2022/07/11/what-ethnographers-have-learned-from-people-who-use-drugs/