บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ
วิธีแรกเป็นการกินเป็นประจำทุกวันในช่วงที่มีความเสี่ยงต่อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใส่ถุงยางอนามัย วิธีที่สองเป็นการกินเฉพาะเมื่อมีความเสี่ยง (หรือคาดว่ามีความเสี่ยง) ต่อเอชไอวีจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่าเพร็พตามต้องการ การใช้เพร็พทั้งสองวิธีได้รับการพิสูจน์จากการวิจัยหลายโครงการว่าได้ผลดี และดูเหมือนว่าการใช้เพร็พตามต้องการนั้นเป็นภาระน้อยกว่าเพร็พแบบที่ต้องกินทุกวัน แต่จากประสบการณ์ของผู้ใช้เพร็พตามต้องการจำนวนหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย การกินเพร็พตามต้องการนั้นเป็นวิธีที่ยุ่งยากพอสมควร ดังรายละเอียดต่อไปนี้ [1]
จากการวิจัยเชิงคุณภาพที่เผยแพร่ในวารสารสังคมวิทยาของสุขภาพและความเจ็บป่วย (Sociology of Health and Illness) แม้ว่าเพร็พตาม(ความ)ต้องการจะเป็นทางเลือกที่น่ายินดีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใช้แทนเพร็พที่ต้องกินทุกวันสำหรับชายเกย์และไบเซ็กชวลชาวออสเตรเลีย แต่ชายบางคนพบว่าเพร็พดังกล่าวนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ[หรือที่เกิดขึ้นเองตามสถานการณ์] และเพิ่มความวิตกกังวล
ชายที่ใช้เพร็พจำเป็นต้องใช้เพร็พอย่างเป็นกิจวัตรโดยการวางแผนและการลองใช้เพื่อทำให้กิจวัตรนั้นใช้ได้ผลสำหรับพวกเขา และสามารถนำไปผนวกเข้ากับชีวิตประจำวันและชีวิตทางเพศของพวกเขาได้
ความเป็นมา
ในปีคศ. 2019 แนวปฏิบัติทางคลินิกในออสเตรเลียเปลี่ยนแปลงไปเป็นที่ยอมรับว่านอกจากเพร็พรายวันแล้วเพร็พตามความต้องการยังสามารถใช้เป็นทางเลือกสำหรับชายเกย์และไบเซ็กชวลได้ อย่างไรก็ตามแพทย์มีความกังวลใจที่จะแนะนำทางเลือกนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความกลัวว่าการกินยาจะซับซ้อนมากขึ้น
เพร็พตามความต้องการหรือเพร็พตามเหตุการณ์ที่เรียกอีกอย่างว่าเพร็พ 2-1-1 ได้ผลโดยการกินยาสองเม็ดภายใน 2 ถึง 24 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์ และกินอีกหนึ่งเม็ด 24 ชั่วโมงหลังการกินเพร็พเม็ดแรก และกินเม็ดสุดท้ายอีก 24 ชั่วโมงต่อมา หรือ 48 ชั่วโมงหลังจากการกินเพร็พเม็ดแรก แม้ว่าทางเลือกนี้จะทำให้ผู้ใช้มีอิสระที่จะไม่ต้องกินเพร็พทุกวัน แต่ก็หมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องวางแผนเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และให้แน่ใจว่าได้รับยาตามขนาดและในเวลาที่เหมาะสม ในบรรดาผู้ใช้เพร็พในออสเตรเลีย แนวทางนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จาก 5% ที่ใช้ในลักษณะนี้ในปีคศ. 2019 เป็น 20% ที่ใช้เพร็พวิธีนี้ในปีคศ. 2021
ในปัจจุบันทางเลือกสำหรับใช้เพร็พที่แนะนำสำหรับชายเกย์และไบเซ็กชวลคือแบบกินทุกวันและแบบที่กินตามความต้องการ อย่างไรก็ตาม ชายบางคนยังใช้เพร็พเป็นระยะๆในช่วงที่พวกเขาอาจสัมผัสกับเอชไอวี เช่น ในช่วงเทศกาลหรือในช่วงวันหยุด ในกรณีเหล่านี้ผู้ใช้กินเพร็พในช่วงระยะเวลาที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งคล้ายกับเพร็พรายวัน สำหรับการกินเพร็พวิธีอื่นๆ เช่น กินเพร็พสี่วันในหนึ่งสัปดาห์ ยังไม่เป็นที่แนะนำในขณะนี้ แม้ว่าจะมีหลักฐานแสดงระดับการป้องกันที่ใกล้เคียงกับเพร็พแบบกินทุกวันก็ตาม ในออสเตรเลียเพร็พสามารถเข้าถึงได้ในราคาที่ถูกลงโดยผ่านระบบสุขภาพแห่งชาติ ส่วนเพร็พจากผู้ให้บริการเอกชนมีราคาที่สูงกว่า หรือผู้ใช้อาจนำเพร็พเข้ามาใช้เองโดยผ่านแหล่งออนไลน์
แม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่าผู้คนกินเพร็พในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ใช้ผนวกรูปแบบการกินเพร็พวิธีการต่างๆเข้ากับชีวิตประจำวันของพวกเขาได้อย่างไร รวมถึงความท้าทายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่นอนว่าพวกเขาได้รับยาป้องกันในขนาดที่จำเป็น และที่โดยปกติแล้วการกินยาไม่ได้เป็นเรื่องที่รบกวนชีวิตทางเพศมากเกินไป
การวิจัย
ดร. แอนโธนี สมิธ (Dr. Anthony Smith) จากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ สัมภาษณ์ผู้ใช้เพร็พ 40 รายที่มีรูปแบบการใช้เพร็พที่ไม่ปกติในปีคศ. 2022 ซึ่งผู้ชายเหล่านี้ไม่ได้กินเพร็พเป็นรายวัน หรือหยุดใช้เพร็พชั่วคราว หรือเปลี่ยนวิธีกินเพร็พ หรือหยุดกินเพร็พในปีที่ผ่านมา ชายที่เข้าร่วมการวิจัยส่วนใหญ่เกิดในออสเตรเลีย (70%) อาศัยอยู่ในรัฐวิกตอเรีย (43%) หรือรัฐนิวเซาธ์เวลส์ (35%) และระบุว่าเป็นเกย์ (75%) และทั้งหมดเป็นผู้ชายตามกำเนิด มีอายุระหว่าง 21 ถึง 77 ปี โดยผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20 หรือ 30 ปี
ผู้เข้าร่วมการวิจัยน้อยกว่าครึ่งหนึ่งใช้เพร็พตามต้องการ (45%) ในขณะที่บางคนกินเพร็พแบบรายวัน (25%) บางคนใช้ยุทธศาสตร์แบบผสมผสาน หรือกินเพร็พเป็นระยะ (13%) และบางคนหยุดกินเพร็พ (17%)
กิจวัตรการกินเพร็พ
ผู้เข้าร่วมการวิจัยอธิบายถึงกิจวัตรที่ช่วยในการกินเพร็พอย่างถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงตารางการกินเพร็พ ซึ่งกิจวัตรเหล่านี้รวมถึงวิธีการเตือนต่างๆ เช่น สัญญานเตือน ป้ายโพสต์อิท (post-it) การวางยาไว้ในจุดที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ การใช้กล่องใส่ยา คู่เพศสัมพันธ์กระตุ้นเตือน หรือกิจวัตรการทำงานบ้านในแต่ละวัน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ต้องกินยาแล้ว ไคล์ (Kyle) ซึ่งกินเพร็พแบบทุกวัน อธิบายว่า:
“กิจวัตรประจำวันของผมคือ: ตื่นนอน ให้อาหารแมวที่กำลังร้องเหมียวๆอยู่ จากนั้นผมถึงจะกินเพร็พ นั่นเป็นสิ่งที่ผมยังคงทำอยู่ตอนนี้ แต่ถ้าแมวไม่ตื่นด้วยเหตุผลที่ผิดปกติบางอย่าง และผมไม่ได้ให้อาหารแมว ผมก็จะลืมกินเพร็พไปด้วย”
ดังนั้นวินัยในการกินยาในรูปแบบนี้อาจขึ้นอยู่กับความผันผวนของสภาพแวดล้อม และในบางกรณีกิจวัตรประจำวันต้องถูกเปลี่ยนไปเป็นการเฉพาะเพื่อผนวกการกินยาเข้าไปด้วย อาร์เจ (RJ) ซึ่งหยุดกินเพร็พทุกวัน พูดถึงการเลือกคู่เพศสัมพันธ์ที่จะไม่ค้างคืน เนื่องจากอาจขัดขวางกิจวัตรเพร็พของเขา:
“ผมจะรู้สึกกลัวมาก ผมจะรู้สึกว่า ‘เรื่องเช่นนี้ต้องไม่เกิดอีกต่อไป’ จนถึงจุดที่ผมจำได้ว่าต้องไล่ให้คนอื่นออกไปก่อนเข้านอน เพื่อที่ผมจะได้ตื่นตอนเจ็ดโมงเพื่อกินยา ผมไม่มีเพศสัมพันธ์แบบที่ต้องค้างคืน”
ผู้เข้าร่วมการวิจัยบางคนพูดถึงความท้าทายในการจดจำว่าได้กินยาไปแล้วหรือยัง ซึ่งอาจนำไปสู่การกินยาซ้ำซ้อนโดยไม่ตั้งใจ ยาที่บรรจุเป็นแผงและแยกเม็ดกันจะเป็นประโยชน์ในเรื่องนี้
ผู้เข้าร่วมการวิจัยรายหนึ่งต้องคาดคะเนกิจวัตรของแฟนของเขาเพื่อที่จะกินเพร็พที่เขาเก็บไว้อย่างลับๆในห้องว่าง ผู้เข้าร่วมการวิจัยคนนี้กินเพร็พเพื่อป้องกันโดยที่แฟนของเขาไม่รู้ ในช่วงที่หาคู่เพศสัมพันธ์แบบลับๆ ผู้เข้าร่วมการวิจัยอีกคนพูดถึงการพยายามหาช่วงเวลาที่สะดวกที่สุดสำหรับกินเพร็พ ชายคนนี้อาศัยอยู่ในชุมชนชนบทและเปลี่ยนมาใช้เพร็พตามต้องการ เนื่องจากเขาจำเป็นต้องใช้มันเมื่อเดินทางไปในเมืองในช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น และเขาไม่ต้องการกินยาแบบทุกวันโดยไม่จำเป็น
สำหรับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่อายุน้อยบางคนการใช้เพร็พอาจเป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องกินยาเป็นประจำ การสร้างกิจวัตรประจำวันสำหรับกินเพร็พของคนกลุ่มนี้มีความท้าทายมากกว่าคนอื่นที่กินยาอื่นๆเป็นประจำอยู่แล้ว
การวางแผนสำหรับเพร็พ
ผู้เข้าร่วมการวิจัยเปรียบเทียบการกินยาตามต้องการกับเพร็พแบบกินทุกวัน แม้ว่าจะหมายความว่าภาระการกินยาโดยรวมจะลดลง และไม่จำเป็นต้องมีกิจวัตรประจำวัน แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนเชิงรุกเพื่อคาดหวังเรื่องเพศ สำหรับบางคน เช่น คีรัน (Ciaran) และคู่ของเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเพราะพวกเขาใช้เพร็พตามต้องการเฉพาะเมื่อพวกเขาวางแผนมีเพศสัมพันธ์กับคู่เพศสัมพันธ์คนที่สามเท่านั้น:
“มันเหมือนกับว่า ‘เฮ้ เราตัดสินใจว่าเราจะชวนคนนี้ไปด้วย และเราจะทำดังนี้ เย้ ใช้เพร็พกันเถอะ’ มันเหมือนกับปฏิทินเทศกาล [หัวเราะ] ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่เหมาะสม แต่มันเหมือนกับว่า ‘นี่เป็นวันที่ 1 นี่เป็นวันที่ 2 เรามีเพศกันเถอะ’ และอีกสองสามวันหลังจากนั้น เราก็ยังมีเพศกันต่อๆไป [ด้วยเพร็พ] ดังนั้นสำหรับผมแล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียม ‘เราจะทำเรื่องนั้นในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้’”
อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งที่เพร็พตามต้องการถูกมองว่าเป็นสิ่งรบกวนการมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเองตามสถานการณ์และมันใช้พลังงานด้านจิตใจมากทีเดียว ดาโกต้า (Dakota) เปลี่ยนกลับไปกินเพร็พรายวันเมื่อสถานะการเงินของพวกเขาดีขึ้น แม้ว่าเพร็พตามต้องการจะมีราคาถูกกว่า แต่พวกเขาระบุว่า: “ผมไม่อยากต้องคิดถึงเรื่องนั้นจริงๆ ผมยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากเกินไป“
ผู้เข้าร่วมการวิจัยบางคนยังพูดถึงยุทธศาสตร์ต่างๆที่จำเป็นสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ตามสถานการณ์เพื่อที่จะทำตามกฎของการกินเพร็พอย่างน้อยที่ต้องกินสองชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์ เช่นพวกเขาจะแกล้งมาสายเมื่อมีการนัดหมายเพื่อมีเพศสัมพันธ์ หรือดูหนังก่อนมีเพศสัมพันธ์ หรือชะลอการสอดใส่ทางทวารหนักด้วยการมีเพศสัมพันธ์ด้วยวิธีอื่นๆ สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับการกินเพร็พทุกวัน ซึ่งไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องรบกวนการมีเพศสัมพันธ์
การคาดเดาว่าเพศสัมพันธ์จะเกิดขึ้นเมื่อใดและกะเวลาการกินเพร็พตามต้องการทำให้ผู้เข้าร่วมการวิจัยบางคนเกิดความหงุดหงิด เนื่องจากจำเป็นต้อง “คาดเดา” สำหรับเจสัน (Jason) มันทำให้เกิดความวิตกกังวลซึ่งเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นความวิตกกังวลที่เขาไม่ต้องเจอเมื่อเขาใช้เพร็พแบบกินทุกวัน:
“ในอีก 24 อีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า มันเหมือนกับว่ามันติดอยู่ในใจผม: ‘คุณต้องกินยาเม็ดนี้! คุณต้องกินยาเม็ดนี้!’ และในแง่หนึ่ง มันย้อนกลับไปถึงวิธีที่ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องที่ก้าวก่าย มันเหมือนกับการสร้างแนวคิดนี้ขึ้นมาใหม่อีกเกี่ยวกับการป้องกันเอชไอวีที่เป็นการเรื่องที่ก้าวก่าย แทนที่จะเป็นเพียงสิ่งที่อยู่เฉยๆหลังฉาก”
นอกจากนี้เขายังพูดถึงการกินยาแบบ “เสียเปล่า” กับการนัดหมายเพื่อมีเพศสัมพันธ์ที่กลายเป็นการนัดที่ผิดหวัง และการกินยาในครั้งต่อๆไปจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า “ผมคิดว่า ผมไม่ควรเสียเวลาเลย…ผมได้ใช้ยาหลายเม็ดนี้สำหรับการนัดหมายที่รู้สึกว่าไม่คุ้มเลย”
การทดลองใช้เพร็พ
แม้ว่าผู้เข้าร่วมการวิจัยส่วนใหญ่กล่าวว่าเพร็พไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเขาในลักษณะที่เห็นได้ชัดเจน แต่คนอื่นๆกลับไม่รู้สึกเช่นนี้ ชายหลายคนพูดถึงเรื่องต่างๆมากมายที่พวกเขาต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เจสันที่เปลี่ยนมาใช้เพร็พตามต้องการเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง:
หากผมเริ่มกินเพร็พ ผมจะรู้สึกอืด ท้องของผมรู้สึกไม่ดีนิดหน่อย และถ้าผมกินมันก่อนนอน ผมจะมีฝันที่เป็นจริงมากเหมือนกับความฝันที่เหมือนจริงมากอย่างไม่น่าเชื่อที่ผมเกลียด… ผมคิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ผมไม่กินมันทุกวันเพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ชอบมันเลยจนกว่าจำเป็นที่จะต้องกินมันจริงๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วผมรู้สึกว่าระบบย่อยอาหารของผมถูกทำลายยับเยิน”
ผู้ชายที่เข้าร่วมการวิจัยอธิบายถึงการทดลองวิธีต่างๆในการกินเพร็พเพื่อลดผลข้างเคียง หรือเพื่อให้แน่ใจว่าได้กินยาในโด๊สที่เหมาะสมสำหรับการป้องกัน (หรือผู้เข้าร่วมการวิจัยรู้สึกว่าเพียงพอ) และเพื่อความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น ทดลองกินเพร็พพร้อมกับกินอาหาร หรือที่ไม่กินอาหารด้วย หรือโดยเริ่มคอร์สของเพร็พตามต้องการเร็วขึ้น 2-3 วัน เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงเมื่อมีเพศสัมพันธ์
ผู้เข้าร่วมการวิจัยมักมีอาการถ่ายอุจจาระเหลว คลื่นไส้ และปวดท้อง ในบางกรณี ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่มักจะเป็นคู่ที่อยู่ด้านล่างมักจะเลือกที่จะเป็นคนที่อยู่ด้านบนเพื่อแก้ไขผลข้างเคียงเหล่านี้
ผู้เข้าร่วมการวิจัยรายหนึ่งที่แพ้แลคโตสประสบปัญหาเนื่องจากมีแลคโตสอยู่ในยาที่เป็นเพร็พ [2] ซึ่งทำให้เป็นเรื่องจำเป็นที่เขาต้องทดลองเพื่อดูว่ากินเพร็พแบบใดจึงจะเหมาะกับเขาที่สุด ผู้เข้าร่วมการวิจัยอีกคนเป็นโรคกระดูกพรุน และแสดงความกังวลว่าเพร็พจะส่งผลต่อกระดูกของเขาอย่างไร แม้ว่าแพทย์จะแนะนำให้หยุดเพร็พ แต่เขาก็ให้ความสำคัญและมีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และตัดสินใจลองกินเพร็พทุกๆวันที่สอง และหยุดพักชั่วคราว และเริ่มใช้เพร็พแบบตามต้องการแทน
สรุป
เพร็พตามต้องการเพิ่มทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับชายเกย์บางคนเนื่องจากต้องใช้ยาน้อยกว่า ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และให้ความยืดหยุ่นในระดับหนึ่งที่เพร็พรายวันไม่มี อย่างไรก็ตาม การใช้เพร็พเช่นนี้อาจมาพร้อมกับการที่ต้องมีการวางแผนมากขึ้น การขาดความเป็นธรรมชาติหรือตามสถานการณ์ และความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น ผู้เขียนยังเน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า “วินัยในการกินยา” ไม่ใช่แนวคิดที่ตรงไปตรงมาเสมอไป แม้ว่าเรื่องนี้มักถูกตีกรอบว่าเป็นเรื่องของบุคคลที่มุมานะในการกินยา และการขาดวินัยในการกินยาอาจถูกมองว่าเป็นข้อบกพร่องส่วนบุคคล แต่เรื่องนี้มักจะซับซ้อนกว่ามากเมื่อรวมเข้ากับชีวิตของแต่ละบุคคล
ผู้ชายในการวิจัยครั้งนี้พบวิธีธรรมดาๆหลายวิธีในการทำให้การใช้เพร็พได้ผลสำหรับพวกเขา ข้อค้นพบจากการวิจัยนี้เน้นทั้งการแก้ไขปัญหาที่ประสบความสำเร็จในแต่ละวัน และความท้าทายที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจนำไปสู่การกินเพร็พไม่สม่ำเสมอ แม้ว่าชายเกย์จำนวนมากอาจเริ่มกินเพร็พ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยังคงใช้เพร็พอยู่ ดังนั้นแง่มุมต่างๆที่สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา นอกจากนี้ข้อค้นพบเหล่านี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการสนทนาระหว่างผู้ให้บริการด้านสุขภาพและผู้รับบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหากับการกินเพร็พอย่างถูกต้อง หรือผนวกเพร็พตามต้องการในชีวิตของพวกเขา
_________________
[1] จาก Is on-demand PrEP too demanding? Australian men’s experiences โดย Krishen Samuel เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2566 ใน https://www.aidsmap.com/news/nov-2023/demand-prep-too-demanding-australian-mens-experiences
[2] อาการแพ้แลคโตสเกิดจากร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมได้ และหลังจากดื่มนมวัว หรือกินผลิตภัณฑ์จากนมวัว ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ปวดท้อง ผายลมบ่อย คลื่นไส้ และท้องเสีย จาก https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/รู้ได้อย่างไรว่าแพ้แลคe/#:~:text=อาการแพ้น้ำตาลแลค,คลื่นไส้