การวิจัยขนาดใหญ่ในอาฟริกาใต้แสดงว่าผู้หญิงที่มีเอชไอวีมีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าถึง 3 เท่า

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

การวิจัยในอาฟริกาใต้ที่รวมผู้หญิงมากกว่า 500,000 ราย พบว่าผู้หญิงที่มีเอชไอวีมีอุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวีประมาณสามเท่า [1] แม้ว่าบริการการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจะมีความครอบคลุมสูงมากก็ตาม ตามรายงานในวารสารมะเร็งระหว่างชาติ (International Journal of Cancer) ผู้หญิงที่มีเอชไอวีมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ตั้งแต่อายุน้อยกว่าผู้หญิงอื่นๆ

ภาพโดย NIAID. Creative Commons licence ใน nam aidsmap

ไวรัสเอชไอวีมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้โดยกดภูมิคุ้มกันทำให้ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันลดลงในการกำจัดเซลล์ที่ติดไวรัสฮิวแมนแพพพิโลมา (Human Papillomavirus – HPV) สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง   ยิ่งไปกว่านั้นไวรัสเอชไอวียังช่วยให้การแสดงออกของโปรตีนหลายชนิดของไวรัสเอชพีวี (HPV) สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งเพิ่มมากขึ้นด้วย      

ผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีมีความเสี่ยงสูงที่จะติดไวรัสเอชพีวี และมักจะเกิดการติดไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้หญิงที่มีเอชไอวียังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกก่อนเป็นมะเร็งที่เร็วกว่าปกติ และเป็นมะเร็งปากมดลูกเร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวี  

อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงในประเทศที่มีรายได้น้อยจะเพิ่มขึ้นหลังจากอายุ 40 ปี แต่การวิจัยบางโครงการพบว่าผู้หญิงที่มีเอชไอวีมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกเร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวีประมาณ 10 ปี  มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกในอาฟริกาตอนใต้เป็นผู้มีเอชไอวี และการวิจัยอีกโครงการหนึ่งประมาณว่า 86% ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในหญิงที่อายุต่ำกว่า 35 ปี ในอาฟริกาตอนใต้มีสาเหตุมาจากเอชไอวี อย่างไรก็ตามแม้จะมีการค้นพบเหล่านี้แต่ก็ยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับอัตรามะเร็งปากมดลูกตามช่วงอายุเพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายสำหรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก      

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์นและมหาวิทยาลัยเคปทาวน์ทำการวิเคราะห์ย้อนหลังเพื่อหาอุบัติการณ์ของรอยโรคก่อนเกิดเซลล์มะเร็งปากมดลูก (dysplasia) และมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง 517,312 รายที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพของเอกชนในอาฟริกาใต้ระหว่างปีคศ. 2011 ถึง 2018 การศึกษาใช้ข้อมูลของการขอเงินคืน (reimbursement) จากแผนกผู้ป่วยในและแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลในการประเมินอุบัติการณ์ตามช่วงอายุของแต่ละอาการในผู้หญิงที่มีเอชไอวีและผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวี 

ผู้หญิงที่มีเอชไอวีที่เข้าเกณฑ์ต้องมีตัวบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีอย่างน้อยสองอย่างในฐานข้อมูลการเคลมประกันซึ่งได้แก่การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี การสั่งจ่ายยาต้านไวรัสเอชไอวี หรือการขึ้นทะเบียนกับโครงการบริหารจัดการทางคลินิกสำหรับเอดส์ (Aid for AIDS)  จากข้อมูลทั้งหมด 8% (38,739 ราย) ของผู้หญิงถูกจัดว่าเป็นผู้อยู่ร่วมเอชไอวี และ 88% กำลังรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส กลุ่มประชากรที่ศึกษามีอายุเฉลี่ย 37 ปีในช่วงเริ่มต้นการศึกษา

การติดตามผล (เวลาที่มีความเสี่ยง) เริ่มต้นในเวลาที่ลงทะเบียนในโครงการประกันสุขภาพ หรือวันเกิดครบ 18 ปี หรือตัวบ่งชี้เอชไอวีครั้งแรก หรือ เดือนมกราคม คศ. 2011 แล้วแต่ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นหลังสุด 

ในช่วงการติดตามผล ผู้หญิง 3,556 รายได้รับการวินิจฉัยว่ามีรอยโรคก่อนมะเร็ง (dysplasia) ของปากมดลูกในระดับปานกลาง (31% เป็นผู้หญิงที่มีเอชไอวี)  เกือบครึ่งหนึ่ง (46%) ของผู้หญิงที่มีรอยโรคก่อนมะเร็งระดับปานกลางมีอายุระหว่าง 25-34 ปี และความเสี่ยงในการเกิดรอยโรคดังกล่าวในกลุ่มอายุนี้สูงมากกว่า 24% เมื่อเทียบกับผู้หญิงอายุ 35-44 ปี อุบัติการณ์สูงสุดของรอยโรคก่อนมะเร็งระดับปานกลางเกิดขึ้นเมื่ออายุ 28 ในผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวี และ 33 ในผู้หญิงที่มีเอชไอวี

การวินิจฉัยรอยโรคก่อนมะเร็งระดับรุนแรงพบในผู้หญิง 3,417 คน (30% เป็นผู้หญิงที่เอชไอวี) อุบัติการณ์สูงสุดของรอยโรคก่อนมะเร็งระดับรุนแรงเกิดที่อายุ 31 ปี โดยไม่คำนึงถึงสถานะเอชไอวี  สำหรับมะเร็งปากมดลูกที่เป็นเฉพาะที่และยังไม่ลุกลาม (ผู้ป่วย 700 ราย 29% เป็นผู้หญิงที่มีเอชไอวี) ซึ่งบางครั้งเรียกว่ารอยโรคก่อนมะเร็งเกรดสูงในการวิจัยโครงการอื่นๆเนื่องจากถือว่าเป็นมะเร็งรูปแบบที่ไม่ลุกลาม วินิจฉัยพบในผู้หญิง 700 คน อุบัติการณ์ของรอยโรคก่อนมะเร็งระดับรุนแรงระดับสูงสุดเมื่ออายุ 34 ปี   

ผู้หญิง 564 รายได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก (23% อยู่ร่วมกับเอชไอวี) อุบัติการณ์ถึงจุดสูงสุดที่ 52 ปี และความเสี่ยงในการได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้นตามอายุ ดังนั้นผู้หญิงที่อายุเกิน 55 ปีมีโอกาสได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงขึ้นประมาณสองเท่าเมื่อเทียบกับผู้หญิงอายุ 35-44 ปี     

ผู้หญิงที่มีเอชไอวีมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งปากมดลูกที่ยังไม่ลุกลามมากกว่าผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวี ประมาณ 3 เท่า และมีความเสี่ยงในการเกิดรอยโรคก่อนมะเร็งระดับปานกลางหรือรุนแรงประมาณ 3 เท่าครึ่ง ผู้หญิงที่มีเอชไอวียังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือเป็นมะเร็งตลอดระยะเวลาติดตามผล แม้ว่าอัตราการวินิจฉัยเอชไอวีจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นและการได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจะมีมากขึ้นก็ตาม      

ผู้วิจัยกล่าวว่าการตรวจคัดกรองความผิดปกติของปากมดลูกในผู้หญิงที่มีเอชไอวีบ่อยขึ้นอาจช่วยให้การตรวจพบภาวะผิดปกติเหล่านี้ได้มากขึ้น แต่พวกเขายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าการวิจัยอีกโครงการหนึ่งที่พบว่าไม่มีความแตกต่างในอัตราการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามสถานะเอชไอวีในผู้หญิงจากประเทศอาฟริกาใต้    

ตรงกันข้ามกับการวิจัยก่อนหน้านี้ที่เสนอแนะว่าผู้หญิงที่มีเอชไอวีเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวี การวิจัยนี้ไม่พบความแตกต่างในช่วงอายุสูงสุดสำหรับการวินิจฉัย แต่การวิจัยพบว่าอายุสูงสุดของผู้หญิงที่มีเอชไอวีจะน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่มีเอชไอวีถึง 7 ปี (49 กับ 56 ปี) เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก   

หากไม่คำนึงถึงสถานะเอชไอวี ประวัติของการเป็นหูดที่อวัยวะเพศหรือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการวินิจฉัยว่ามีรอยโรคก่อนมะเร็งหรือมะเร็งปากมดลูกทุกรูปแบบ   

ผู้วิจัยกล่าวว่าผลลัพธ์ของการวิจัยอาจประเมินความสัมพันธ์ระหว่างเอชไอวีกับมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งต่ำไป เนื่องจากมีผู้หญิงเพียง 15% ในอาฟริกาใต้เท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครองประกันสุขภาพเอกชน  สำหรับผู้หญิงที่ไม่มีประกันสุขภาพและต้องใช้บริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลของรัฐย่อมมีแนวโน้มว่าอัตราการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจะต่ำ และอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกจะสูงกว่าในประชากรที่เหลือ

_________________

[1] Women with HIV have three times the risk of cervical cancer, large South African study shows โดย Keith Alcorn เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2566 ใน https://www.aidsmap.com/news/nov-2023/women-hiv-have-three-times-risk-cervical-cancer-large-south-african-study-shows