กรณีซิฟิลิสแต่กำเนิดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นภัยต่อสาธารณสุขระดับโลกที่นำไปสู่ปัญหาร้ายแรงที่เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธ์ุ และสุขภาพกายและจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้หญิงและเด็ก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกากล่าวว่ากรณีทารกที่ติดซิฟิลิสตั้งแต่กำเนิดมีเพิ่มมากขึ้น ปัญหานี้ได้รับการรายงานในสื่อมวลชนหลายแห่ง รวมถึง​ STAT [1]

“ซิฟิลิสอาจเป็นอันตรายถึงตายแก่ทารกของคุณ” ภาพโดย Business Wire/AP ใน STAT

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรครายงานเมื่อวันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ว่าจำนวนทารกที่ติดซิฟิลิสแต่กำเนิดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่การคลอดทารกที่เสียชีวิตในครรถ์  ทารกเสียชีวิต และความพิการที่มีผลต่อการดำรงชีวิตมีเพิ่มมากขึ้น  

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกล่าวว่าจำนวนของกรณีการติดซิฟิลิสแต่กำเนิดในปีคศ. 2022 เพิ่มมากกว่า 10 เท่าของรายงานเมื่อปีคศ. 2012 โดยตั้งข้อสังเกตว่ากรณีส่วนใหญ่ (90% ของ 3,761 ราย) ที่รายงานในปีคศ. 2022 สามารถหลีกเลี่ยงได้หากแม่ของทารกได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาซิฟิลิสอย่างเพียงพอ

พญ. เดบรา เอารี่ (Dr. Debra Houry) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกล่าวว่า “วิกฤตซิฟิลิสแต่กำเนิดในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นในอัตราที่น่าสะเทือนใจ…และการทำงานแนวทางใหม่ๆเพื่อป้องกันโศกนาฏกรรมในครอบครัวที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็น เรากำลังเรียกร้องให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ระบบสาธารณสุข และชุมชนให้ทำงานมากขึ้นเพื่อให้แม่และเด็กได้รับบริการที่จำเป็นสำหรับพวกเขา”

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรครายงานว่าในปีคศ. 2021 ปัญหานี้รุนแรงที่สุดในกลุ่มเชื้อชาติและชาติพันธุ์บางกลุ่ม ทารกที่เกิดจากแม่ที่เป็นคนผิวดำ ฮิสแปนิก อเมริกันอินเดียน และคนพื้นเมืองของรัฐอลาสก้า มีแนวโน้มที่จะเป็นซิฟิลิสแต่กำเนิดสูงกว่าทารกที่เกิดจากแม่ที่เป็นคนผิวขาวถึงแปดเท่า

การเพิ่มขึ้นของซิฟิลิสแต่กำเนิดมีความเชื่อมโยงกับอัตราการแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นในหญิงวัยเจริญพันธ์ุโดยรวม

นพ.​โรเบิรต์ แมคโดนัลด์​ (Dr. Robert McDonald) ผู้เขียนหลักของรายงานและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แผนกการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกล่าวว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อัตราทารกแรกเกิดที่มีเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบบีลดลงเนื่องจากการป้องกันทั้งสองโรคกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลแบบมาตรฐานของหญิงท่ีตั้งครรภ์ แต่ในขณะที่หญิงที่ตั้งครรภ์ได้รับการตรวจเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบบีเป็นประจำ การปฏิบัติเช่นนี้ยังไม่เกิดขึ้นกับซิฟิลิส

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคมีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหานี้โดยเรียกร้องให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพให้ฉวยโอกาสต่างๆที่มีอยู่เพื่อตรวจซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแนะนำให้ใช้การตรวจที่รู้ผลเร็วและหากตรวจพบหญิงตั้งครรภ์ที่ติดซิฟิลิสก็จะได้ให้การรักษาทันที ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่พบบ่อยคือไม่สามารถติดตามบุคคลที่ตรวจว่าเป็นซิฟิลิสได้ หรือคนเหล่านั้นไม่ยอมกลับมารับการรักษาเมื่อรู้ผลการตรวจแล้ว     

คำแนะนำสำหรับรักษาซิฟิลิสในระหว่างตั้งครรภ์มีเพียงวิธีเดียวคือการให้ยาเบนซาทีน เพนิซิลลิน จี (benzathine penicillin G) หากตรวจพบการติดซิฟิลิสตั้งแต่เนิ่นๆสามารถให้การรักษาได้โดยการฉีดเพียงครั้งเดียว ส่วนการติดเชื้อในระยะหลังๆจำเป็นต้องฉีดยาสามครั้งโดยได้รับการดูแลเจ็ดถึงเก้าวัน มีรายงานว่ายาสามารถรักษาอาการติดเชื้อได้ 98% ของกรณี แต่ปัจจุบันยังมีวิธีการรักษาที่ท้าทายโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อาจไม่ได้ฝากครรภ์เป็นประจำส่งผลให้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค กระตุ้นผู้ให้บริการด้านสุขภาพและหน่วยงานสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการรักษาโรคซิฟิลิสในขณะตั้งครรภ์

การศึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคพบว่าผู้ป่วยซิฟิลิสแต่กำเนิดที่รายงานในปีคศ. 2022 มี 231 รายของการตั้งครรภ์ที่เป็นการคลอดทารกตายในครรภ์ และอีก 51 รายมีผลทำให้ทารกเสียชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมทารกที่เกิดมาพร้อมกับซิฟิลิสแต่กำเนิดที่มีชีวิตอยู่อาจมีอาการตาบอด หูหนวก พัฒนาการล่าช้า และมีความผิดปกติของโครงกระดูก   

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจคัดกรองซิฟิลิสในการนัดตรวจสุขภาพก่อนคลอดครั้งแรกหรือทันทีที่ตั้งครรภ์ ควรตรวจซ้ำเมื่อตั้งครรภ์ได้ 28 สัปดาห์ และตั้งแต่แรกเกิดสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่มีอัตราการติดซิฟิลิสสูง และมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อซ้ำในระหว่างตั้งครรภ์เนื่องจากการใช้สารเสพติดหรือมีคู่นอนใหม่ ในปีคศ. 2021 38% ของเทศมณฑล (county) ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นที่อาศัยของประชากร 70% ของสหรัฐอเมริกา มีอัตราการติดซิฟิลิสซึ่งทำให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

นพ. แมคโดนัลด์ เน้นว่า “ประเด็นสำคัญคือหากมีคนได้รับการรักษาและพวกเขามีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อซ้ำ คุณจะต้องแน่ใจว่าพวกเขาได้รับการคัดกรองซ้ำและได้รับการรักษาตามความเหมาะสม”

แม้ว่าการตรวจคัดกรองเป็นประจำจะช่วยลดจำนวนทารกที่เป็นซิฟิลิสแต่กำเนิดได้ งานนี้พูดง่ายกว่าทำดังที่สถิติอื่นๆในรายงานที่เพิ่งเผยแพร่  

เกือบ 40% ของทารกที่เกิดมาพร้อมกับซิฟิลิสแต่กำเนิดในปีคศ. 2022 เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับการดูแลระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเพียงแค่ขอให้สูติแพทย์และนรีแพทย์เพิ่มการตรวจคัดกรองซิฟิลิสเข้าไปในรายการสิ่งที่พวกเขาตรวจในระหว่างตั้งครรภ์อาจจะไม่ได้แก้ปัญหานี้ และหญิงตั้งครรภ์ที่มีทารกได้รับผลกระทบจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับการรักษาที่เพียงพอหรือไม่ได้รับการรักษาการติดเชื้อที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นหลักฐานถึงแม้ว่าผลตรวจซิฟิลิสจะเป็นบวกก็ตาม นพ. แมค-โดนัลด์ กล่าวว่าถ้าไม่มีการตรวจที่รู้ผลเร็วแล้ว โอกาสที่จะรักษาซิฟิลิสให้หายขาดก่อนที่ทารกในครรภ์จะได้รับอันตรายได้จะสูญเสียไปสำหรับหลายกรณี   

นพ. แมคโดนัลด์  กล่าวว่า “ยิ่งเวลาที่ทารกในครรภ์สัมผัสกับซิฟิลิสน้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่สิ่งที่เราพบคือตราบใดที่คุณรักษา 30 วันก่อนเกิดได้ นั่นเป็นสถานการณ์ในอุดมคติในการป้องกันผลเสียของโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด”

ผู้ทำงานด้านสาธารณสุขจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการให้การดูแลที่จำเป็นเพื่อลดอัตราการเป็นซิฟิลิสแต่กำเนิด นพ. แมคโดนัลด์ ให้ข้อคิดว่าสำหรับผู้ตั้งครรภ์บางรายที่ติดซิฟิลิส โอกาสที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอาจจะพบกับพวกเขาได้อาจเป็นที่แผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือในคุก หรือเมื่อพวกเขามารับเข็มฉีดยาเสพติดจากโปรแกรมการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยา[เสพติด] หรือโปรแกรมด้านสุขภาพแม่และเด็กในชุมชน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วผู้ทำงานด้านสาธารณสุขต้องเริ่มคิดถึงการตรวจคัดกรองซิฟิลิสในสถานที่เหล่านั้นด้วย

นพ. แมคโดนัลด์  กล่าวว่า “โดยหลักการแล้ว เราต้องการให้ทุกคนได้รับการดูแลก่อนคลอดอย่างเต็มที่….แต่ถ้าใครไม่ได้รับการดูแลก่อนคลอดอย่างเต็มรูปแบบ เราต้องการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถได้รับการตรวจคัดกรองและรักษาโรคซิฟิลิสได้เพื่อป้องกันผลเสียจากซิฟิลิสที่มีมาแต่กำเนิด”

พญ. ลอรา บาคแมน (Dr. Laura Bachmann) หัวหน้าแพทย์ฝ่ายป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกล่าวกับผู้สื่อข่าว The New York Times ว่ากรณีการติดซิฟิลิสแต่กำเนิดแสดงถึงการชำรุดของโครงสร้างพื้นฐานของระบบสาธารณสุข [2]

โครงสร้างพื้นฐานของสาธารณสุขชำรุดในหลายทาง พญ. บาคแมน อธิบายว่า 38% ของทารกที่ติดซิฟิลิสแต่กำเนิดเกิดจากแม่ที่ไม่ได้รับบริการทางการแพทย์ก่อนการคลอดเลย ส่วนแม่ที่ไปรับบริการตรวจครรภ์ก่อนคลอดอย่างน้อย 1 ครั้งนั้น 30% ไม่ได้รับการตรวจซิฟิลิส หรือหากได้รับตรวจก็เป็นการตรวจที่ช้าเกินไปแล้ว สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการตรวจซิฟิลิสนั้น 88% ได้รับการรักษาที่ไม่เพียงพอ หรือที่ไม่มีการบันทึกเป็นหลักฐานไว้ หรือไม่ได้รับการรักษาเลย

ในอดีตนั้นในสหรัฐอเมริกาแผนกสาธารณสุขของรัฐต่างๆมีทีมแพทย์/พยาบาลด้านรักษาโรคที่ให้บริการเกี่ยวกับการป้องกันโรคต่างๆสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่รวมถึงการออกไปเยี่ยมบ้านเพื่อให้ยาที่บ้านเลย แต่การตัดงบประมาณทำให้ทีมเช่นนั้นไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะให้บริการดังกล่าวอีกต่อไป

ซิฟิลิสถูกกำจัดจนเกือบหมดไปจากสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 ปีก่อน แต่การติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 70% ถึง 177,000 กรณีในช่วงปีคศ. 2017 ถึง 2021 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น หนองใน (มากกว่า 700,000 ราย) และหนองในเทียม (1.6 ล้านราย)

การติดซิฟิลิสที่เพิ่มมากขึ้นในสหรัฐอเมริกาเริ่มจากชายมีเพศสัมพันธ์กับชายก่อน แต่ในหลายปีที่ผ่านมาการติดเชื้อเริ่มกระจายไปสู่เครือข่ายของคนมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศ ในหญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ุนั้น อัตราการติดซิฟิลิสเพิ่มขึ้น 17.2% ระหว่างปีคศ. 2021 ถึง 2022 แต่ระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาไม่มีความเชื่อมต่อที่ดีกับหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศเหมือนกับความเชื่อมโยงกับองค์กร/เครือข่ายของชายมีเพศสัมพันธ์กับชายในการป้องกันเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

หญิงวัยเจริญพันธ์ุไม่มีความตระหนักว่าซิฟิลิสยังมีอยู่ หญิงที่ตั้งครรภ์ที่ติดซิฟิลิสอาจไม่มีอาการ หรือไม่รู้ว่าควรต้องตรวจซิฟิลิสและได้รับการรักษา นอกเหนือจากคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกี่ยวกับการตรวจซิฟิลิสเมื่อมาฝากครรภ์ที่เอ่ยถึงข้างบนแล้วนั้น หลายรัฐในสหรัฐอเมริกามีข้อบังคับให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนตรวจซิฟิลิสสามเวลาในช่วงการดูแลก่อนคลอดเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ไม่ติดซิฟิลิสในการตรวจครั้งแรกจะไม่ติดซิฟิลิสในภายหลัง

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเสริมว่าบริการป้องกันซิฟิลิสควรขยายเกินกว่าบริการดูแลก่อนคลอดที่รวมถึงคู่ครองของหญิงตั้งครรภ์ และชายที่มีเพศกับคนต่างเพศด้วย

โดยปกติแล้วการตรวจซิฟิลิสจะรวมการตรวจเพื่อยืนยันอีกหนึ่งครั้ง แต่เนื่องจากมีคนจำนวนหนึ่งที่จะสูญหายไปไม่สามารถติดตามได้หลังจากการตรวจครั้งที่หนึ่ง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจึงแนะนำให้รักษาซิฟิลิสหลังการตรวจครั้งแรกเลยสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่กลับมาตรวจซ้ำอีก

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาบริษัทไฟเซอร์ผู้ผลิตยาเบนซาทีน เพนิซิลลิน จี เตือนองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาว่ายาอาจมีไม่เพียงพอเพราะว่าความต้องการมีมากขึ้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคได้แนะนำให้ผู้ให้บริการให้ความสำคัญในการใช้ยาเบนซาทีน เพนิซิลลิน จี เพื่อรักษาซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ก่อน

ทางเลือกอีกทางสำหรับการรักษาซิฟิลิสคือการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะด๊อกซีไซคลิน (doxycycline) ที่ต้องกินวันละสองครั้งเป็นเวลาหลายอาทิตย์ แต่การรักษานี้ไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์

พญ. บาคแมน สรุปว่าสถานการณ์เกี่ยวกับการติดซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์และทารกที่ติดซิฟิลิสสะท้อนถึงความชำรุดของระบบสุขภาพซึ่งมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย แต่เทคโนโลยี่ในการตรวจซิฟิลิสไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

_________________

[1] Congenital syphilis cases in the U.S. have skyrocketed, CDC says โดย Helen Branswell เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2566 ใน https://www.statnews.com/2023/11/07/congenital-syphilis-cases-soar-us-cdc/

[2] Infants Are Born With Syphilis in Growing Numbers, a Sign of a Wider Epidemic โดย Apoorva Mandavilli เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2566 ใน https://www.nytimes.com/2023/11/07/health/syphilis-babies.html