บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

นับเป็นเวลาเกินกว่าสองปีแล้วที่การระบาดของโควิด-19 แพร่กระจายไปทั่วโลก มีคนติดเชื้อทั้งหมดจากทั่วโลกมากกว่า 375 ล้านคน และมีคนเสียชีวิตจากโควิด-19 ไปแล้วมากกว่า 5.6 ล้านคน[1] ถึงแม้ว่าการรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่คนในประเทศต่างๆมีความก้าวหน้าไปมากพอสมควร แต่ยังมีช่องว่างของการรณรงค์ฉีดวัคซีนระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางมากอยู่ ตราบใดที่ความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับวัคซีนยังมีอยู่และมีคนที่ไม่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศต่างๆเป็นจำนวนมาก โอกาสที่ไวรัสจะแพร่กระจายต่อไปเรื่อยๆ และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมก็ยังมีอยู่ซึ่งย่อมมีผลทำให้ประเทศที่ประชาชนส่วนมากได้รับฉีดวัคซีนไปแล้วต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นให้แก่ประชาชนของตนต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนั้นแล้วอาจจะต้องปรับปรุงวัคซีนของแต่ละครั้งให้เหมาะสมกับไวรัสที่มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมซึ่งยากที่จะคาดคะเนว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในทิศทางใดทำให้การนำเอาวัคซีนที่ปรับปรุงแล้วไปใช้ล่าช้าไปหลังจากที่การปะทุระบาดคร้ังใหม่ผ่านไปแล้วและนำไปสู่คำถามว่าจะคงการแก้ปัญหาการระบาดด้วยยุทธศาสตร์ทำนองนี้ต่อไปเรื่อยๆได้อย่างไร?

ศาสตราจารย์ นพ. ปีเตอร์ โฮเตส (Prof. Peter Hotez) จากศูนย์พัฒนาวัคซีน (Center for Vaccine Development) ของโรงพยาบาลเด็ก เท็กซัส (Texas Children’s Hospital) และวิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ (Baylor College of Medicine)  รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา กล่าวกับผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ของ MSNBC ว่าไวรัสผันแปรเดลต้าโผล่ออกมาจากคนที่ไม่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ในอินเดีย ไวรัสผันแปรโอมะครอนผุดขึ้นมาจากคนที่ไม่ได้รับฉีดวัคซีนในประเทศอาฟริกาใต้[2]

ในอีกมุมมองหนึ่งการระบาดระดับโลกของโควิด-19 เป็นโอกาสทองของบริษัทวัคซีนที่พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ที่ได้ผลและได้รับการอนุมัติให้นำไปใช้ได้จริง เพราะรายได้จากวัคซีนคิดเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ถึงแม้ว่าบริษัทวัคซีนบางบริษัทจะออกข่าวว่าจะอนุญาติให้บริษัทอื่นผลิตวัคซีนของตนได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ทางการค้าแต่ในทางปฏิบัติยังไม่มีความก้าวหน้าที่เห็นได้อย่างชัดเจนเพราะอุปสรรคหนึ่งที่สำคัญของวัคซีนโควิด-19 ที่ได้ผลดีและเป็นที่ต้องการใช้กันมากคือเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยี่ให้แก่บริษัทอื่นต่อไป

ศ.​โฮเตส ตระหนักถึงอุปสรรคดังกล่าวและมีเครื่องมือที่จะอุดช่องว่างเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับวัคซีนเพื่อช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ที่ได้ผลและที่ใช้เทคโนโลยี่ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลและเป็นที่คุ้นเคยกันดีมาหลายสิบปีแล้ว ข้อเสนอแนะดังกล่าวคือวัคซีนโควิด-19 ที่มีชื่อว่าคอร์บีแว็กซ์ (CORBEVAX) ที่พัฒนาโดย ศ. โฮเตส และ ดร. มาเรีย เอเลนา บอตตาสซี (Dr. Maria Elena Bottazzi) จากวิทยาลัยแพทยศาตร์เบย์เลอร์

วัคซีนคอร์บีแว็กซ์เป็นวัคซีนที่ผลิตจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ (protein subunit vaccine) ที่ใช้ชิ้นส่วนของโปรตีนเดือย (spike protein) ของไวรัสโคโรนาที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายได้ในการกระตุ้นและเตรียมระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ วัคซีนโปรตีนซับยูนิตใส่ชิ้นส่วนของโปรตีนเดือยเข้าไปในร่างกายโดยตรงที่ต่างกับวัคซีนประเภทเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA vaccines) ที่ร่างกายต้องสร้างโปรตีนเดือยเองตามที่เอ็มอาร์เอ็นเอสอน

การพัฒนาวัคซีนคอร์บีแว็กซ์เริ่มจากโรคระบาดซาร์ส (SARS) เมื่อปีคศ. 2003 ที่นักวิจัยหลักทั้งสองคนพยายามสร้างวัคซีนสำหรับโรคซาร์สที่ใช้เทคโนโลยี่โปรตีนซับยูนิต (protein subunit) โดยสอดรหัสพันธุกรรมของชิ้นส่วนหนึ่งของโปรตีนเดือยของไวรัสซาร์สเข้าไปในยีสต์ (yeast) เพื่อสร้างโปรตีนเดือยจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตวัคซีนในปริมาณที่สูงมาก หลังจากนั้นนักวิจัยจะแยกโปรตีนเดือยออกจากยีสต์และเพิ่มสารเสริมฤทธิ์ให้กับโปรตีนเดือยเพื่อช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เกิดปฏิกิริยาต่อไวรัส เทคโนโลยี่นี้เป็นเทคโนโลยี่ที่ใช้ทำวัคซีนตับอักเสบบี (hepatitis B vaccine) ที่ใช้กันมาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี[3]

การระบาดของโรคซาร์สเป็นการระบาดที่สั้นทำให้วัคซีนที่ศ. โฮเตส และ ดร. บอตตาสซี พัฒนามาไม่มีความจำเป็นจนกระทั่งการระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มในปลายปี 2019 ที่ทำให้นักวิจัยทั้งสองนำเอาวัคซีนสำหรับโรคซาร์สกลับมาปรับปรุงใหม่โดยการปรับปรุงชิ้นส่วนของโปรตีนเดือยให้เหมาะสมกับไวรัสซาร์สโควีทู (SARS-CoV-2)

สิ่งที่น่าแปลกใจคือวัคซีนดังกล่าวไม่ได้รับความสนใจและการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้งๆที่เทคโนโลยี่ที่ใช้ในการทำวัคซีนเป็นเทคโนโลยี่ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล และวัคซีนคอร์บีแว็กซ์เป็นวัคซีนท่ีพัฒนาต่อยอดจากวัคซีนสำหรับโรคซาร์ส และโรคเมอร์ส (MERS) ที่ระบาดในปี 2012 ซึ่งไวรัสทั้งสองเป็นไวรัสตระกูลโคโรนาไวรัสเช่นเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ศ. โฮเตส กล่าวว่าหากวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาเพียงเสี้ยวหนึ่งของ 4.1 พันล้านเหรียญที่รัฐบาลให้การสนับสนุนแก่วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอของโมเดอร์นาภายใต้ยุทธศาสตร์ความเร็วสูง (Operation Warp Speed) แล้ว คนทั้งโลกอาจได้รับฉีดวัคซีนไปแล้ว และเราคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับไวรัสผันแปรโอมะครอนดังที่เป็นอยู่ก็ได้[4]

งบประมาณ 7 ล้านเหรียญในการพัฒนาวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ส่วนใหญ่มาจากผู้ลงทุนเอกชนที่รวมถึงหลายบริษัทที่อยู่ในรัฐเท็กซัส

นักวิจัยและสถาบันที่สนับสนุนในการพัฒนาวัคซีนดังกล่าวมีความต้องการที่จะผลิตวัคซีนราคาถูก (1-1.5 เหรียญต่อโด๊ส) เก็บรักษาและขนส่งได้ง่าย และไม่มีค่าลิขสิทธิ์ที่เป็นการเปิดโอกาสอย่างอิสระให้แก่ประเทศหรือบริษัทวัคซีนต่างๆสามารถผลิตได้เองสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาหรือประเทศที่มีวัคซีนโควิด-19 ไม่เพียงพอ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากวัคซีนราคาแพงและที่มีปริมาณจำกัดดังเช่นวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ

วัคซีนคอร์บีแว็กซ์จึงเป็นวัคซีนที่บริษัทอื่นสามารถผลิตได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ นอกจากนั้นแล้วทีมวิจัยยังจะทำงานร่วมกับบริษัทวัคซีนอื่น เช่น บริษัทไบโอโลจิคอล อี  (Biological E.) จากประเทศอินเดีย เพื่อให้แน่นอนว่าบริษัทอื่นสามารถผลิตวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ได้เอง

บริษัทไบโอโลจิคอล อี กล่าวว่าบริษัทได้ทำการวิจัยทางคลินิกระยะที่สามในประเทศอินเดียสำหรับวัคซีนคอร์บีแว็กซ์เสร็จแล้ว ซึ่งการวิจัยดังกล่าวรวมผู้เข้าร่วมการวิจัย 3,000 คน และผลของการวิจัยแสดงว่าสำหรับไวรัสรุ่นดั้งเดิมนั้นวัคซีนมีประสิทธิผล 90% ในการป้องกันโควิด-19 ที่มีอาการ สำหรับไวรัสผันแปรเดลต้านั้นวัคซีนมีประสิทธิผล 80%  ในการป้องกันโควิด-19 ที่มีอาการ สำหรับไวรัสผันแปรโอมะครอนนั้นทางบริษัทกำลังทำการวิจัยอยู่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเผยแพร่ผลการวิจัยดังกล่าว และวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินสำหรับประเทศอินเดียแล้ว ในปัจจุบันบริษัทไบโอโลจิคอล อี สามารถผลิตวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ได้เดือนละ 100 ล้านโด๊สและได้ขายวัคซีนน้ีจำนวน 300 ล้านโด๊สให้แก่รัฐบาลอินเดียไปแล้ว แต่บริษัทไม่เปิดเผยว่าจะตั้งราคาวัคซีนเท่าไร[5]

ศ. โฮเตส เสริมว่า บริษัทไบโอโลจิคอล อี มีแผนที่จะทำการวิจัยทางคลินิกสำหรับการใช้วัคซีนคอร์บีแว็กซ์เป็นวัคซีนกระตุ้น และการวิจัยเกี่ยวกับการใช้วัคซีนคอร์บีแว็กซ์สำหรับเด็กด้วยเพราะเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยดี

บริษัทไบโอโลจิคอล อี มีแผนที่จะผลิตวัคซีนคอร์บีแว็กซ์มากกว่า 1 พันล้านโด๊สภายในปี คศ. 2022 ซึ่งศ. โฮเตส และ ดร. บอตตาสซี ผู้พัฒนาวัคซีนนี้จะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดใดเลย แต่วิทยาลัยแพทยศาตร์เบย์เลอร์ที่เป็นนายจ้างของนักวิจัยทั้งสองจะได้รับค่าธรรมเนียม (หมายเหตุ 4)

ประเทศอินเดียเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ทีมวิจัยได้เจรจากับบริษัทไบโอฟาร์มา (Bio Farma) สำหรับประเทศอินโดนีเซีย บริษัทอินเซ็บต้า ฟาร์มาซูติคอลส์ (Incepta Pharmaceuticals) สำหรับประเทศบังคลาเทศ และบริษัทอิมมูนิตี้ ไบโอ (ImmunityBio) สำหรับประเทศบอตสวานาและประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาฟริกาใต้ เกี่ยวกับการผลิตวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ในประเทศนั้น[6] ซึ่ง ศ. โฮเตส เสริมว่าการเจรจาดังกล่าวก้าวหน้าไปมากแล้ว นอกจากนั้นแล้วทีมวิจัยกำลังปรึกษากับองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับการแชร์ลิขสิทธิ์ของวัคซีนในโครงการกองกลางของการเข้าถึงเทคโนโลยี่เกี่ยวกับโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก (WHO’s COVID-19 Technology Access Pool)

ดร. คีธ มาร์ติน (Dr. Keith Martin) ผู้อำนวยการบริหารของสมาคมมหาวิทยาลัยสำหรับสุขภาพของโลก (Consortium of Universities for Global Health) ในเมืองวอซิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา กล่าวว่าวัคซีนคอร์บีแว็กซ์เป็นตัวเปลี่ยนเกมส์เพราะว่ามันจะทำให้ประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางทั่วโลกสามารถผลิตวัคซีนนี้ได้เองในราคาที่ถูก และจัดสรรวัคซีนได้เองอย่างมีประสิทธิภาพและอย่างปลอดภัย ดร.​ มาร์ตินเน้นว่าสิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งของวัคซีนนี้คือทรัพย์สินทางปัญญาของวัคซีนนี้เปิดให้แก่ทุกคน ทำให้เราสามารถช่วยให้บริษัทวัคซีนในประเทศต่างๆผลิตวัคซีนนี้ได้เอง

แต่ถึงแม้ว่าวัคซีนคอร์บีแว็กซ์จะใช้เทคโนโลยี่ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลและเป็นที่ยอมรับกันก็ตาม แต่จุดอ่อนของวัคซีนคอร์บีแว็กซ์คือจะต้องใช้เวลาในการปรับวัคซีนให้เหมาะสมกับไวรัสผันแปรต่างๆมากกว่าวัคซีนประเภทเอ็มอาร์เอ็นเอ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักระหว่างการปรับวัคซีนได้เร็วกับการปรับวัคซีนที่ช้ากว่าแต่สามารถผลิตในปริมาณที่มากสำหรับระดับโลกได้อย่างรวดเร็วและในราคาที่ถูกกว่า

นอกจากคนที่เห็นด้วยกับวัคซีนคอร์บีแว็กซ์และการแชร์เทคโนโลยี่ในการผลิตแล้ว ยังมีคนที่มีความสงสัยหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับวัคซีนเอง หรือแรงจูงใจในการผลิตวัคซีนนี้เช่นกัน เจมส์ แครลเลนสตีน (James Krellenstein) ผู้ก่อตั้งคนหนึ่งของเพร็บฟอร์ออล (PrEP4All) ที่เป็นองค์กรรณรงค์เกี่ยวกับความเสมอภาคด้านสุขภาพ กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ The Washington Post (หมายเหตุ 4) ว่า ถึงแม้ว่าศูนย์พัฒนาวัคซีนของโรงพยาบาลเด็ก เท็กซัสจะไม่ต้องการกำไรในการพัฒนาวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ก็ตาม แต่บริษัทไบโอโลจิคอล อี มีผลประโยชน์ทางการเงินในวัคซีนนี้ และวัคซีนนี้อาจจะยอดมากหรืออาจจะไม่ดีก็ได้ แต่วิทยาศาสตร์โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับสาธารณสุขจะต้องยึดอยู่กับการวิเคราะห์ที่ไม่มีความลำเอียงของข้อมูลที่เปิดเผย และไม่ใช่การไว้วางใจในคำพูดของบริษัทผลิตวัคซีนที่มีผลประโยชน์ผูกกับวัคซีนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

ศ.​ โฮเตส ตระหนักดีถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการขาดข้อมูลทางคลินิกที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ศ.​โฮเตส ให้เหตุผลว่าบริษัทไบโอโลจิคอล อี เป็นบริษัทขนาดเล็กไม่ใช่บริษัทระดับนานาชาติ บริษัทไบโอโลจิคอล อี ไม่มีศักยภาพเหมือนกับบริษัทวัคซีนขนาดใหญ่ แต่บริษัทได้แจ้งให้ทีมวิจัยทราบว่าบริษัทกำลังทำงานเพื่อที่จะเปิดเผยข้อมูลโดยเร็วที่สุด

นักวิจัยอีกคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของ The Washington Post มีความเห็นต่อความหวังที่สูงต่อวัคซีนคอร์บีแว็กซ์ทั้งๆที่ยังไม่มีข้อมูลจากการวิจัยทางคลินิกระยะที่สาม [ที่แสดงถึงประสิทธิผลของวัคซีน] ที่แสดงว่าวัคซีนได้ผลดีจริงอย่างที่อ้างกันว่าวัคซีนคอร์บีแว็กซ์เป็นวัคซีนสำหรับประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง ซึ่งสำหรับสหรัฐอเมริกาแล้วคงไม่มีคนยอมรับวัคซีนนี้

ในปัจจุบันและเป็นเวลามากกว่า 1 ปีเพียงเล็กน้อยจำนวนวัคซีนโควิด19 ที่ถูกใช้ฉีดให้แก่ประชาชนทั่วโลกมีจำนวนมากถึง 1 พันล้านโด๊สซึ่งนับได้ว่าเป็นการรณรงค์ฉีดวัคซีนระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และ 60% (4.8 พันล้านคน) ของประชากรทั่วโลกได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วอย่างน้อย 1 เข็มโดยใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิดต่างๆที่ได้รับอนุมัติจากประเทศต่างๆทั่วโลกมากกว่า 20 ชนิด

ระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกจนถึงวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 1 พันล้านแรกใช้เวลาเพียง 4 เดือน แต่ระหว่างวัคซีนเข็มที่ 1 พันล้านจนถึงเข็มที่ 10 พันล้านเมื่อสิ้นเดือนมกราคม 2565 ที่เพิ่งผ่านไปต้องใช้เวลาอีก 9 เดือน และจากจำนวนทั้งหมดนี้ 1 พันล้านโด๊สเป็นวัคซีนกระตุ้น และทุกวันนี้ 1 ใน 3 ของวัคซีนโควิด-19 ที่ถูกใช้ฉีดให้แก่คนทั้งโลกเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 ซึ่งแสดงถึงความไม่เสมอภาคของการเข้าถึงวัคซีนในระดับโลก[7]

ในขณะที่ประชาชนของประเทศร่ำรวยหลายประเทศสามารถได้รับฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และที่ 4 แล้ว แต่เพียง 16% ของชาวอาฟริกาทั่วทั้งทวีปได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วเพียงหนึ่งเข็ม ซึ่งในความเห็นของศ. โฮเตส แล้วเมื่อคำนึงถึงการระบาดในปัจจุบันและไวรัสผันแปรโอมะครอนแล้ว การได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 1 เข็มนั้นแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย สำหรับวัคซีนโควิด-19 บางชนิดแล้วการได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 2 เข็มก็ยังไม่พอสำหรับไวรัสผันแปรโอมะครอน และเมื่อคำนึงถึงความจริงว่าบางประเทศได้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ/หรือเข็มที่ 4 ไปแล้ว ดังนั้นจำนวนคนของโลกที่ได้รับฉีดวัคซีนไปแล้วในปริมาณที่พอต่อการป้องกันการป่วยหนักนั้นเป็นจำนวนที่น้อยมาก

จากการคำนวณคร่าวๆ ศ. โฮเตส กล่าวว่าโลกอาจต้องมีวัคซีนโควิด-19 จำนวน 3 พันล้านโด๊สสำหรับฉีดให้แก่คนของประเทศต่างๆในอาฟริกา ลาตินอเมริกา และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการผลิตวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี่สูงเช่นวัคซีนเอ็ม อาร์เอ็นเอในปริมาณเช่นนี้ภายในระยะเวลาที่จำกัดนั้นเป็นเรื่องยากมาก (หมายเหตุ 6)

หากว่าประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างกว้างขวางและโดยเร็วดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ การระบาดของโควิด-19 ก็ยังจะเป็นสาธารณภัยที่สำคัญของโลกอยู่ และวัคซีนที่ใช้ได้ผล ราคาประหยัด การเก็บรักษาและขนส่งทำได้ง่ายไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษแต่อย่างใด ดังเช่นวัคซีนคอร์บีแว็กซ์จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับประเทศรายได้ต่ำและประเทศรายได้ปานกลางในการแก้ไขปัญหาการระบาดในช่วงต่อไป

 

_______________

[1] https://www.worldometers.info/coronavirus/

[2] “New Corbevax vaccine could be global game changer” เมื่อ 9 มกราคม 2565 ใน https://www.msnbc.com/american-voices/watch/new-corbevax-vaccine-could-be-global-game-changer-130443333539

[3] “CORBEVAX, a new patent-free COVID-19 vaccine, could be a pandemic game changer globally” โดย Maureen Ferran เมื่อ 21มกราคม 2565 ใน https://theconversation.com/corbevax-a-new-patent-free-covid-19-vaccine-could-be-a-pandemic-game-changer-globally-174672

[4] “A new coronavirus vaccine heading to India was developed by a small team in Texas. It expects nothing in return.” โดย Adam Taylor เมื่อ 30 ธันวาคม 2564 ใน https://www.washingtonpost.com/world/2021/12/30/corbevax-texas-childrens-covid-vaccine/

[5] “New COVID vaccine from Texas could be a global game changer” โดย Joe Palca เมื่อ 5 มกราคม 2565 ใน https://www.npr.org/sections/goatsandsoda/2022/01/05/1070046189/a-texas-team-comes-up-with-a-covid-vaccine-that-could-be-a-global-game-changer

[6] “A Patent-free Vaccine for Global Access” เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2565 ใน https://mailchi.mp/humanvaccinesproject/covid-report-vaccine-development-1615919

[7] “Ten billion COVID vaccinations/ world hits new milestone” โดย Freda Kreier เมื่อ 31 มกราคม 2565 ใน https://www.nature.com/articles/d41586-022-00285-2