เรื่องน่าสนใจจากการประชุมครอย

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

การประชุมเกี่ยวกับเรทโทไวรัสและการติดเชื้อฉวยโอกาส (Conference on Retrovirus and Opportunistic Infections) หรือที่เรียกว่าการประชุมครอย (CROI) ของทุกปีเป็นการประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับเอชไอวีและโรคติดเชื้อต่างๆ ที่สำคัญมากของโลก การประชุมครอยของปี คศ. 2023 ที่เพิ่งจบไปมีการนำเสนอความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สำคัญหลายประเด็นรวมถึงการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับการขยายผลของการป้องกันเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์นาน อนาคตของวัคซีนป้องกันเอชไอวี และผลกระทบของเอ็มพอกซ์ (Mpox ซึ่งเป็นชื่อใหม่แทนที่ฝีดาษลิงที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้เพื่อลดความเข้าใจผิดว่าโรคนี้พบในลิงเท่านั้น) 

ด็อกซีเพ็พสำหรับป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และวัคซีนป้องกันหนองใน: คำถามที่สำคัญ คำตอบที่สำคัญ

ผลกระทบที่อาจเป็นไปได้ของด็อกซีไซคลินต่อการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นประเด็นหนึ่งของการวิจัยหลายโครงการที่นำเสนอในการประชุมครอยปีนี้ เพราะว่าด็อกซีไซคลินเป็นยาปฏิชีวนะที่เป็นที่รู้จักและมีใช้กันมานานแล้วและราคาไม่แพง

ดร. นพ. ชฺจอง-มิเชล โมลินา (Dr. Jean-Michel Molina) จากมหาวิทยาลัยกรุงปารีส นำเสนอผลการวิจัยด็อกซี แวค (Doxy VAC) ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ต่อยอดจากการนำเสนอที่ครอยเมื่อปีที่ผ่านมา กลุ่มด็อกซีเพ็พ (DoxyPEP) ให้ด็อกซีไซคลินแก่ชายเกย์และชายมีเพศสัมพันธ์กับชายที่ใช้เพร็พและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ภายในปีที่แล้ว ผู้เข้าร่วมกลุ่มนี้ได้รับยาด็อกซีไซคลินตามโด๊สที่กำหนดไว้ก่อนแล้วภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย การใช้ด็อกซี (Doxy) สำหรับป้องกันโรคหลังการสัมผัสเชื้อหรือเพ็พ (PEP) ช่วยลดการติดซิฟิลิสและหนองในเทียมได้อย่างมีนัยสำคัญโดยมีอุบัติการณ์ 5.6% เทียบกับ 35.4% ของกลุ่มที่ไม่ได้ใช้ด็อกซีเพ็พ นอกจากนี้ด็อกซีเพ็พยังลดอุบัติการณ์ของโรคหนองใน – อุบัติการณ์ 20.5% สำหรับด็อกซีเพ็พเทียบกับ 41.3% หากไม่มีการป้องกัน แต่ดร. โมลินาเตือนว่าโรคหนองในเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้อย่างรวดเร็วมากและสะท้อนถึงความสำคัญของกลุ่มวัคซีนในการวิจัยนี้ที่แสดงให้เห็นว่าวัคซีนสำหรับไข้กาฬหลังแอ่นชนิด B ที่พัฒนาเมื่อปีคศ. 2015 ลดอุบัติการณ์ของโรคหนองในจากร้อยละ 19.7 เป็นร้อยละ 9.8 ผลลัพธ์นี้ทำให้การวิจัยถูกยุติก่อนกำหนดเนื่องจากพิสูจน์ได้แล้วว่ามีประสิทธิผล ผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้งหมดจะได้รับทั้งด็อกซีไซคลินและวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น ดร. โมลินา ย้ำว่าปัจจุบันมีทางเลือกเพียงไม่กี่ทางในการจัดการกับโรคหนองใน และเรียกร้องให้มีการวิจัยเพิ่มเติม “ไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย [กับวัคซีน] เราไม่รู้ว่าการป้องกันจะอยู่ได้นานแค่ไหน เราต้องการข้อมูลเพิ่มเติม” ซึ่งเอแวคเห็นด้วยอย่างยิ่ง – การยุติการแพร่ระบาดของเอชไอวีรวมถึงการป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเอชไอวีและมะเร็งบางชนิดด้วย และอาจส่งผลร้ายแรงอื่นๆ ตามมา

แต่ด็อกซีเพ็พในผู้หญิงตามเพศกำเนิดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พญ. เจเนล สจ๊วต (Dr. Jenell Stewart) จากมหาวิทยาลัยวอซิงตัน นำเสนอผลการวิจัย ดีเพ็พ (dPEP) จากประเทศเคนย่า การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบเปิดเผยข้อมูล (open-label) ในกลุ่มผู้หญิงตามเพศกำเนิดซึ่งเป็นผู้ที่เคยใช้เพร็พอย่างสม่ำเสมอมาก่อนแล้ว พญ. สจ๊วต รายงานว่าผู้เข้าร่วมการวิจัยมีอัตราการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงถึงร้อยละ 27 และรายงานเกี่ยวกับการใช้ด็อกซีเพ็พที่ดีแต่ไม่ถึงกับเป็นการใช้ที่สมบูรณ์ (กินยาด็อกซีไซคลินขนาด 200 มก. ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์) แต่อุบัติการณ์ของซิฟิลิส หนองในเทียม หรือหนองในจริงไม่ลดลง คำถามที่สำคัญคือการกินยาอย่างถูกต้องสมบูรณ์เป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ หรือปัจจัยทางชีวภาพมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเพราะแบคทีเรียดื้อยา? พญ. สจ๊วต กล่าวถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับผู้หญิงและการพิจารณาถึงสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของผลลัพธ์ที่ผิดหวังนี้อย่างลึกซึ้ง

พญ. เจเนล สจ๊วต รูปภาพโดย Liz Highleyman. (aidsmap.com/node/37312/preview)

ผลการวิจัยเหล่านี้นำไปสู่ข้อสงสัยเกี่ยวกับเชื้อดื้อยาซึ่งมีสัญญานเตือนจากนานาประเทศเกี่ยวกับเชื้อดื้อยาและการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ การวิจัยที่นำเสนอที่ครอยได้พิจารณาถึงปัญหานี้แต่ไม่ได้แก้ปัญหาเหล่านี้โดยที่นักวิจัยที่เกี่ยวข้องกล่าวว่ายังต้องการข้อมูลอีกมาก แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดการเรียกร้องต่อหน่วยงานกำกับดูแลสำหรับแนวทางปฏิบัติสำหรับการให้ด็อกซีเพ็พ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (U.S. CDC) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาโดยสัญญาว่าจะทำการตรวจสอบข้อมูลและเสนอข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ให้บริการจนกว่าจะมีข้อแนะนำอย่างเป็นทางการที่มีรายละเอียดเพิ่มเติม

โมเสคโกกับอนาคตของวัคซีนป้องกันเอชไอวี

การวิจัยวัคซีนโมเสคโก (Mosaico Vaccine Trial) เป็นการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 ที่เป็นโครงการวิจัยขนาดใหญ่โครงการหนึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ต้องถูกยุติก่อนกำหนดเนื่องจากวัคซีนที่ใช้ในการวิจัยไม่มีประสิทธิผล พญ. ซูซาน บัคไบเดอร์ (Dr. Susan Buchbinder) นักวิจัยหลักของโครงการวิจัยเปิดเผยข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเป็นคร้ังแรกในการประชุมครอยที่แสดงว่าวัคซีนมีประสิทธิผลเป็นศูนย์ และแสดงถึงสิ่งที่น่ากังวลที่พบในการวิจัยนี้ซึ่งเป็นอัตราการติดเอชไอวีที่สูงในทั้งสองกลุ่มของการศึกษาคือ 4.1% พญ. บัคไบเดอร์ อธิบายในการประชุมของผู้ที่ได้รับทุนครอยสำหรับตัวแทนชุมชน “ชมรมอาหารเช้ามาร์การิตา” (Margarity Breakfast Club) ว่าวัคซีนโมเสคโกถูกออกแบบให้กระตุ้นแอนติบอดีที่ไม่สามารถทำให้เอชไอวีหมดฤทธิ์ได้ (non-neutralizing antibodies)  ที่ต้องทำงานร่วมกับทีเซลล์ (T-cells) เพื่อขัดขวางการทำงานของไวรัสเอชไอวี พญ. บัคไบเดอร์ อธิบายว่า “ผลจากการวิจัยทางคลินิกเพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลของวัคซีนโครงการต่างๆที่ดำเนินการไปภายในเร็วๆ นี้ รวมทั้งการวิจัยโมเสคโกแสดงให้เห็นว่าแอนติบอดีที่ไม่สามารถทำให้ไวรัสหมดฤทธิ์ได้นั้นไม่มีประโยชน์มากนัก” พญ. บัคไบเดอร์ ยังกล่าวอีกว่าจะมีการศึกษาเกี่ยวกับทีเซลล์อีกต่อไปในฐานะองค์ประกอบที่สำคัญในวัคซีนเอชไอวีควบคู่ไปกับแอนติบอดีท่ีสามารถทำให้ไวรัสหมดฤทธิ์ได้ (neutralizing antibodies)

การวิจัยโมเสคโกลงรวมผู้เข้าร่วมการวิจัยที่เป็นชายเกย์ที่เป็นชายตามเพศกำเนิด ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย และหญิงแปลงเพศ จำนวนทั้งหมด 3,900 คน และเสนอให้เพร็พแก่ผู้เข้าร่วมการวิจัยเมื่อลงทะเบียนเข้าร่วมการวิจัย ผู้ที่ต้องการใช้เพร็พแต่ไม่ต้องการเข้าร่วมการวิจัยได้รับการส่งต่อไปยังโครงการเพร็พในพื้นที่ สำหรับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ปฏิเสธเพร็พใน ตอนแรกและถูกแบ่งกลุ่มให้อยู่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนสามารถเลือกรับเพร็พได้ทุกเมื่อในระหว่างการวิจัย การใช้เพร็พเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาของการวิจัยแต่ไม่เกิน 10% ของผู้เข้าร่วมการวิจัย เมื่อนำเอาผลที่ได้ทั้งหมดเหล่านี้มาพิจารณาร่วมกันแล้ว การวิจัยสรุปว่า “แม้จะมีการให้คำปรึกษาเพื่อลดความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและการเชื่อมโยงกับเพร็พก็ตาม อุบัติการณ์ของเอชไอวี…ก็สูงมาก นี่คือประชากรที่ต้องการวิธีการป้องกันเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพเพิ่มเติมเป็นอย่างยิ่ง” ดังที่เอแวคกล่าวอยู่เสมอว่าโลกยังคงต้องการวัคซีนเอชไอวีอยู่ และผลการวิจัยของโมเสคโกชี้ให้เห็นว่าเหตุใดโลกจึงยังคงต้องการวัคซีนและทางเลือกที่มากขึ้นกว่าวิธีการป้องกันเอชไอวีต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ในการประชุมพิเศษเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการวิจัยโมเสคโก หัวหน้าเครือข่ายการวิจัยวัคซีนเอชไอวี (HVTN) นพ. แลร์รี คอ-รีย์ (Dr. Larry Corey) เน้นว่าประเด็นสำคัญคือวงการวิจัยวัคซีนเอชไอวีประสบความสำเร็จในการตอบคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับแอนติบอดีที่ไม่สามารถทำให้ไวรัสหมดฤทธิ์ได้ (non-neutralizing antibodies) นพ. คอรีย์ กล่าวว่ายุทธศาสตร์นี้ไม่ได้ผลสำหรับวัคซีนเอชไอวี และเป็นเวลาที่จะต้องทำงานต่อยอดจากผลของการวิจัยแอมพ์ (AMP studies) ที่มีศักยภาพและดำเนินการพัฒนาแอนติบอดีที่ทำให้ไวรัสเอชไอวีสายพันธ์ุต่างๆหมดฤทธิ์ (bNAbs) ต่อไป นพ. คอรีย์ อธิบายว่าการวิจัยเกี่ยวกับแอนติบอดีประเภทนี้ “เป็นวงการที่ลึกมาก มีโครงการวิจัยมากมาย” กุญแจดอกหนึ่งในการเร่งการวิจัยโครงการต่างๆดังกล่าวคือ การวิจัยวัคซีนทดลอง (Experimental Medicine Vaccine trials หรือ EMVT) ที่จะระบุวัคซีนที่มีศักยภาพและเลือกวัคซีนที่ไม่มีศักยภาพออกไป ได้อย่างรวดเร็ว การรู้แต่เนิ่นๆ ว่าวัคซีนใดแสดงศักยภาพและวัคซีนใดไม่มีศักยภาพ อาจช่วยให้วงการวิจัยตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรลงทุนที่ใดในอนาคต ทั้งในการวิจัยและพัฒนาวัคซีน แอนติบอดี และผลิตภัณฑ์เพร็พรุ่นต่อไป และในการจัดสรรทางเลือกเหล่านั้นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ผู้หญิงกับทางเลือก: ข้อมูลบอกว่าใช่!

ถึงแม้ว่าผลของการวิจัยดีเพ็พ (dPEP) จากประเทศเคนยาเป็นเรื่องที่สลดใจ แต่การประชุมครอย 2023 ก็มีข่าวดีหลายเรื่องสำหรับผู้หญิงและทางเลือกต่างๆ

การวิจัย 2 โครงการจากเครือข่ายการวิจัยเกี่ยวกับไมโครบิไซด์ (Microbicides Trials Network – MTN) แสดงว่าแหวนครอบช่องคลอดดาพิวิรีน (dapivirine vaginal ring – DVR) ปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์และหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่และทารก การวิจัย B-Protected ที่ศึกษาระดับยาในน้ำนมแม่และออกแบบมาเพื่อตอบคำถามต่างๆ สำหรับสนับสนุนหน่วยงานกำกับดูแลและโครงการระดับชาติเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนำเอาแหวนดาพิวิรีนไปขยายผลใช้จริงและช่วยให้ผู้หญิงตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล ผลลัพธ์สุดท้ายที่นำเสนอในโปสเตอร์ล่าสุดแสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นต่ำมากของดาพิวิรีนที่ตรวจพบในตัวอย่างเลือดของทารก และผู้เข้าร่วมการวิจัยใช้วงแหวนในอัตราที่สูง ดร. พญ. เจนนิเฟอร์ บัลคุส (Dr. Jennifer Balkus) ประธานร่วมของโครงการวิจัยกล่าวว่า “ข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เป็นที่น่าพอใจนี้ พร้อมด้วยข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงการถ่ายโอนยาดาพิไวรีนไปสู่ทารกที่ต่ำนี้ ทำให้องค์การอนามัยโลกและแนวทางปฏิบัติของประเทศมีข้อมูลล่าสุดสำหรับรวมผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยเมื่อแนะนำแหวนดาพิวิรีนให้เป็นทางเลือกเพิ่มเติมในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี”

การวิจัย DELIVER ของเครือข่ายการวิจัยเกี่ยวกับไมโครบิไซด์เผยแพร่ผลของการวิเคราะห์ระหว่างการวิจัยที่เป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน จากการเปรียบเทียบแหวนดาพิวิรีนกับเพร็พในระหว่างตั้งครรภ์ นักวิจัยพบว่าดาพิวิรีน “ไม่ก่อให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยเมื่อใช้ในไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์” ขั้นตอนสุดท้ายของการวิจัยกำลังดำเนินการวิจัยขั้นตอนสุดท้ายอยู่และจะประเมินความปลอดภัยและการยอมรับของร่างกายต่อแหวนดาพิวิรีนในผู้ที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 29 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ การวิจัย DELIVER เป็นหนึ่งในการวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันเอชไอวีจำนวนน้อยมากที่ดำเนินการวิจัยในหญิงที่ตั้งครรภ์ ความเสี่ยงในการได้รับเอชไอวีสำหรับผู้หญิงตามเพศกำเนิดที่ตั้งครรภ์นั้นสูงกว่าปกติถึงสามเท่า การออกแบบการวิจัยการป้องกันโดยรวมสำหรับหญิงมีครรภ์และให้นมบุตรนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

พญ. จีน มาร์ราสโซ (Dr. Jeanne Marrazzo) จากคณะแพทยศาสตร์เบอร์มิงแฮม มหาวิทยาลัยอลาบามา นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวินัยในการใช้เพร็พและการติดเอชไอวี การศึกษานี้รวบรวมข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจากหญิงตามเพศกำเนิด 6,296 คนในโครงการสาธิตการใช้เพร็พ 11 โครงการใน 6 ประเทศ ซึ่งเป็นการประเมินที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันที่เกี่ยวกับวินัยในการใช้เพร็พและอุบัติการณ์การติดเอชไอวีจากสถานการณ์จริงในผู้หญิงตามเพศกำเนิด การวิเคราะห์พบว่า 17% ของหญิง 2,954 รายที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการกินยาอย่างสม่ำเสมอ 7 เม็ดต่อสัปดาห์ การรายงานด้วยตนเองของบุคคลว่ากินยาอย่างสม่ำเสมอจะสูงกว่าที่นักวิจัยตรวจวัดได้อย่างเป็นรูปธรรมไม่ลำเอียง แต่ประสิทธิผลของเพร็พยังคงปรากฏชัดเมื่อกินยา 4-6 เม็ดต่อสัปดาห์ การค้นพบนี้เป็นหลักฐานว่าหญิงตามเพศกำเนิดมีความมั่นใจได้เช่นเดียวกับที่ผู้ชายรู้แล้วมาเป็นระยะหนึ่งแล้วคือการกินยาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดนั้นไม่จำเป็น แต่ข้อมูลที่ พญ. มาร์ราสโซ เน้นย้ำยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการทั้งทางเลือกและนวัตกรรมในการจัดบริการที่ดีขึ้น การใช้เพร็พอย่างมีวินัยนั้นการปฏิบัติตามลดลงหรืออยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องมากถึงร้อยละ 60 ของผู้ที่ได้รับการติดตาม  

ดร. นพ. โมเสท แกมยา (Dr. Moses Kamya) จากมหาวิทยาลัยมาเคเรเร (Makerere University) ประเทศอูแกนดารายงานผลที่น่าสนใจจากการวิจัยเซิร์ชฺ (SEARCH) ที่เสนอทางเลือกที่แท้จริงแก่หญิงที่ต้องการการป้องกันเอชไอวีในชนบทยูกันดาและเคนยา ในกลุ่มหนึ่งของการวิจัยผู้เข้าร่วมการวิจัยได้รับการเสนอทางเลือกของเพร็พ (PrEP) หรือเพ็พ (PEP) ทางเลือกในการเข้ารับบริการที่คลินิกหรือนอกสถานที่ และทางเลือกเพื่อใช้การตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ผู้ให้บริการที่ทำงานร่วมกับพวกเขาได้รับการฝึกอบรมในการดูแลที่ยึดผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลาง และผู้เข้าร่วมเหล่านี้ได้รับสิทธิ์เข้าถึงแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ดร. แกมยา รายงานว่า “ความครอบคลุมด้านชีวเวชศาสตร์” เพิ่มขึ้นจาก 29% เป็น 70% ในกลุ่มการวิจัยที่ได้รับเสนอเมนูทางเลือกเหล่านี้ การตรวจเอชไอวีด้วยตนเองเพิ่มจาก 34% เป็น 59% การใช้บริการนอกคลินิกเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 61% ดร. แกมยา กล่าวว่าวิธีการป้องกันเอชไอวีเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า แต่ก็ยังต่ำเกินไปสำหรับประชากรกลุ่มนี้ เขาเรียกร้องให้เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนในการขยายผลของยาฉีดคาโบเทกราเวียร์ (CAB) ที่ใช้เป็นเพร็พ

การวิเคราะห์เกี่ยวกับระดับยาคาโบเทกราเวียร์ในหญิงจากการวิจัยประสิทธิภาพโครงการ HPTN 084 เพิ่มศักยภาพในการป้องกันสำหรับคาโบเทกราเวียร์ ดร. มารค์ มาร์เซ็งเกะ (Dr. Mark Marzinke) จากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปคินส์ นำเสนอผลการวิจัยเบื้องต้นที่แสดงระดับการป้องกันด้วยการฉีดยาแบบทุกสามเดือน (แทนที่จะฉีดทุกๆแปดสัปดาห์เหมือนที่ทำในการวิจัยเดิม) หากได้รับการยืนยันในการวิจัยเพิ่มเติมและได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล การฉีดคาโลเท-กราเวียร์เพื่อใช้เป็นเพร็พจะสอดคล้องกับการฉีดยาคุมกำเนิด

การให้บริการเพร็พแก่ประชาชน: บทเรียนด้านนวัตกรรมจากเคนยาและอาฟริกาใต้ 

การศึกษาในเคนยาแสดงให้เห็นว่าเภสัชกรที่ผ่านการฝึกอบรมในร้านขายยาเอกชนอาจเป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพในการขยายการใช้เพร็พโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชายหนุ่มที่ยังไม่แต่งงานที่เข้าถึงยาก ดร. สเตฟานี โรช (Dr. Stephanie Roche) จากศูนย์วิจัยมะเร็งเฟร็ด ฮัตชินสัน (Fred Hutchinson Cancer Research Center) กล่าวว่าร้านขายยาเอกชนของเคนยาเป็นตัวแทนของภาคส่วนวิชาชีพที่มีคุณภาพสูง และกระทรวงสาธารณสุขของเคนยาต้องการหาหลักฐานเพื่อสนับสนุนการให้บริการเพร็พ เพ็พ และการตรวจโรคติดต่อทางเพศ ที่อยู่นอกคลินิก การศึกษาพบว่าความต้องการใช้บริการต่างๆนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อมีการยกเว้นค่าธรรมเนียม โดยรวมแล้ว 87% ของลูกค้า 863 รายใช้บริการหนึ่งในสามของบริการเหล่านี้  โดยที่การใช้เพร็พเท่ากับ 69% การใช้เพร็พต่อเนื่องเท่ากับ 72% ในเดือนที่ 1 และ 51% ในเดือนที่ 4 จากผู้ที่ใช้บริการเหล่านี้ 46% ระบุว่าเป็นผู้ชาย และ 78% เป็นโสด โครงการนำร่องของการศึกษาที่จะนำเสนอแหวนครอบช่องคลอดดาพิวิ-รีนและคาโบเทกราเวียร์สำหรับใช้เป็นเพร็พอยู่ในระหว่างการพิจารณา

พญ. อิงกริด บาสเซ็ตต์ (Dr. Ingrid Bassett)  จากโรงพยาบาลศูนย์แมสซาชูเซตส์ (Massachusetts General Hospital) นำเสนอการวิจัยจากอาฟริกาใต้ที่ผนวกบริการเพร็พและการคุมกำเนิดไว้ที่ร้านทำผมสามแห่ง ช่างทำผมได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้บริการเหล่านี้ นอกจากนั้นแล้วร้านทำผมทั้งสามแห่งมีพยาบาลประจำเพื่อให้บริการตรวจเอชไอวีและการตั้งครรภ์ จ่ายเพร็พและยาคุมกำเนิดทั้งแบบกินหรือแบบฉีด นักวิจัยพบว่าการคุมกำเนิดสูงมากถึง 87% การใช้เพร็พเท่ากับ 39% พญ. บาสเซ็ตต์ กล่าวว่าช่างทำผมและลูกค้าหลายคนไม่เคยรู้เรื่องเพร็พมาก่อน การประเมินความเสี่ยงด้วยตนเองไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเริ่มใช้เพร็พ และไม่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ว่าคู่เพศสัมพันธ์ของตนมีคู่นอนคนอื่นด้วย แต่รายงานการใช้ความรุนแรงของคู่เพศสัมพันธ์เป็นตัวทำนายของการเริ่มใช้เพร็พ พญ. บาสเซ็ตต์ กล่าวว่ามีความต้องการสำหรับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นกัน การวิจัยนี้ยืนยันประสบการณ์จากโครงการถุงยางอนามัยสตรีรุ่นแรกสุดในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 ในประเทศซิมบับเวที่เป็นผู้บุกเบิกการจำหน่ายถุงยางอนามัยสตรีและข้อมูลทางเพศที่ปลอดภัยที่จุดให้บริการเป็นร้านทำผม ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นบนฐานของโครงการแจกถุงยางอนามัยชายในร้านตัดผมในช่วงกลางทศวรรษ 1900 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโครงการที่เฉพาะเจาะจงและที่ทำให้การจัดสรรง่ายขึ้นเป็นแนวคิดที่มีประสิทธิผล

พัฒนาการสำหรับการป้องกันเอชไอวี

เมื่อปีคศ.  2021 บริษัทเมอร์ค (Merck) หยุดการวิจัยเกี่ยวกับการรักษาและการป้องกันโดยใช้ยาอิสลาทราเวียร์ (islatravir – ISL) หลังจากที่สังเกตเห็นระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ซีดีสี่ทีเซลล์ (CD4 T) ลดลงในผู้เข้าร่วมการวิจัย ในปี 2022  เมอร์คได้เริ่มต้นโครงการเกี่ยวกับการรักษาขึ้นใหม่ แต่การวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันที่ใช้ยาไอเอสแอล (ISL) เป็นเพร็พแบบกินรายเดือนถูกยกเลิกไป พญ. แคทลีน สไคว’เออะ (Dr. Kathleen Squires) จากเมอร์ครายงานว่าภายใน 12 เดือนหลังจากหยุดให้ยาไอเอสแอลจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ซีดีสี่ทีเซลล์จะเท่ากับที่พบในกลุ่มควบคุม และได้กลับคืนไปสู่ระดับปกติ การตรวจขนาดยาที่ต่ำลงสำหรับการรักษาพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เม็ดเลือดขาวเทียบได้กับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่เป็นมาตรฐานของการดูแล พญ. สไคว’เออะ กล่าวว่าข้อมูลเหล่านี้พร้อมกับการศึกษาโมเดลจำลองได้ระบุระดับต่ำสุดที่ใช้เป็นเกณฑ์สำหรับปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่ำที่สุด ในขณะที่การวิจัยทางคลินิกสำหรับไอเอสแอลเพื่อการรักษาได้ดำเนินต่อไป การวิจัยไอเอสแอลเพื่อใช้เป็นเพร็พแบบกินรายเดือนยังถูกพิจารณาอยู่และยังไม่ดำเนินการต่อไปในเวลานี้ นอกจากนั้นแล้วบริษัทเมอร์คกำลังมองหายาทางเลือกที่สามารถใช้เป็นเพร็บรายเดือนได้

แต่ไอเอสแอลอาจถูกใช้สำหรับฝังเข้าใต้ผิวหนังได้ พญ. สไคว’เออะ ยืนยันว่าการวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโดยใช้ไอเอสแอลแบบฝังเข้าใต้ผิวหนังยังถูกพักไว้ก่อน แต่กลุ่มวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งจากสถาบันวิจัยเมธอดิสต์ฮุสตันได้นำเสนอการวิจัยขนาดเล็กในลิงแสมที่แสดงให้เห็นว่าการให้ไอเอสแอลที่ย่อยสลายทางชีวภาพได้เป็นยาฝังเข้าใต้ผิวหนังให้การปกป้องในลิงห้าตัวจากหกตัวจากการติดเอสเอชไอวี (SHIV) ทางช่องคลอด โดยที่ลิงที่เกิดการติดเชื้อมีค่ายาต่ำจากการตรวจระดับยาในเลือด ซึ่งการวิจัยในสัตว์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการทั้งหมด

พญ. ชารอน ริดด์เลอร์ (Dr. Sharon Riddler) จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก นำเสนอข้อมูลที่แสดงว่ายาเหน็บทวารหนักที่ประกอบด้วยยาต้านไวรัสทีโนโฟเวียร์ อะลาฟีนาไมค์ (tenofovir alafenamide หรือ TAF) และเอลวิเทกราเวียร์ (elvitegravir) มีความปลอดภัยในมนุษย์ โดยความเข้มข้นสูงสุดของยาอยู่ที่เนื้อเยื่อทวารหนัก ยาเหน็บนี้ยังได้รับการทดสอบทางช่องคลอด ในขณะที่ยาฉีดและยาฝังเข้าใต้ผิวหนังมักจะสร้างความตื่นเต้น (และเงินทุน) ได้มากที่สุด แต่ยาเหน็บและผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ผู้ใช้เป็นคนสอดใส่เองและไม่ใช่ยาที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายแต่ให้การป้องกันทันทีที่เกิดการเสี่ยงขึ้นอาจเป็นทางเลือกที่จำเป็นสำหรับผู้คน นักวิจัยเรียกร้องให้มีการประเมินผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง

การวิจัยเพื่อรักษาเอชไอวีให้หาย 

งานวิจัยที่นำเสนอที่ครอย 2023 ช่วยเพิ่มเติมหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่าการกำจัดซีซีอาร์ห้า (CCR5) ซึ่งเป็นตัวรับบนทีเซลล์ที่เอชไอวีฉวยโอกาสใช้เป็นช่องทางเข้าสู่เซลล์เป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลในการควบคุมและรักษาเอชไอวี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีมอรี (Emory University) ให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการวิจัย 2 โครงการที่ใช้เทคโนโลยีการตัดต่อยีนเพื่อกำจัดตัวรับซีซีอาร์ห้าออกจากทีเซลล์ ทำให้เซลล์เหล่านั้นมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเอชไอวี จากผู้เข้าร่วมการวิจัย 9 คนที่ได้รับการปรับเปลี่ยนเซลล์และหยุดการรักษาด้วยยาต้านไวรัส 5 คนสามารถควบคุมปริมาณไวรัสไม่ให้ขยายตัวเพิ่มจำนวนขึ้นได้เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ผู้เข้าร่วมการวิจัยรายหนึ่งยังคงตรวจเอชไอวีในเลือดไม่พบเมื่อหกปีหลังจากที่ได้รับการปลูกถ่ายทีเซลล์ของเขาเองที่ถูกดัดแปลงแล้วเพียงครั้งเดียว แนวทางการรักษานี้อาจเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและที่สามารถนำไปขยายผลใช้เพื่อควบคุมเอชไอวีได้ แต่ยังมีคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับคุณภาพของทีเซลล์ที่อาจจำเป็นต้องปรับปรุงและจำเป็นต้องมีวิธีการทางชีวศาสตร์อื่นๆเพิ่มเติมด้วยหรือไม่

การประชุมครอย 2023 ยังมีการแถลงข่าวเกี่ยวกับคนไข้ดุสเซลดอร์ฟ (Duesseldorf Patient) ซึ่งเป็นบุคคลที่สามในห้าที่ได้รับการรักษาจนหายจากการติดเอชไอวีโดยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ เช่นเดียวกับกรณีอื่นๆคนไข้ดุสเซลดอร์ฟได้รับเซลล์ของผู้บริจาคเพื่อรักษามะเร็งจากบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อเอชไอวีซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ที่ส่งผลให้ทีเซลล์ไม่มีซี-ซีอาร์ห้า

ในระหว่างการประชุมเกี่ยวกับความก้าวหน้าของการวิจัยเพื่อรักษาเอชไอวีให้หาย ดร. พญ. เจเน็ต ซิลิเซียโน (Dr. Janet Siliciano) เสนอว่าการลดขนาดของแหล่งกักเก็บเอชไอวีที่แฝงอยู่ในร่างกายแทนที่จะกำจัดเอชไอวีทั้งหมดอาจเป็นปัจจัยหนึ่งในการควบคุมไวรัสได้โดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส ในขณะที่วิธีเพื่อควบคุมไวรัสกำลังก้าวหน้าไปมากวิธีการนี้จึงเป็นหนึ่งในคำถามที่การวิจัยยังคงต้องการคำตอบอยู่

การนำเสนอเกี่ยวกับเอ็มพอกซ์ (Mpox)

ภาพรวมเกี่ยวกับเอ็มพอกซ์ (Mpox) ของโลกจัดทำโดยนพ. จอห์น บรู๊คส์ (Dr. John Brooks) จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา ในปี คศ. 2022 ไวรัสที่แต่เดิมพบมากใน 7 ประเทศในอาฟริกาตะวันตกและอาฟริกากลางได้แพร่กระจายไปยัง 100 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 85,000 ราย และจากการตรวจผู้ที่ติดเชื้อพบว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่เป็นส่วนมาก และเป็นครั้งแรกที่เอ็มพอกซ์มีความสัมพันธ์สูงกับการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะในกลุ่มเกย์ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศ และกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย นพ. บรู๊คส์ให้ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าในบางกรณีผู้ที่มีเชื้อสามารถแพร่เชื้อต่อได้สี่วันก่อนที่จะแสดงอาการ กรณีการติดเชื้อเริ่มลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคม นพ. บรู๊คส์ ชี้ให้เห็นถึงสองปัจจัยที่เป็นไปได้ของการลดลงนี้ การสำรวจในสหรัฐอเมริการายงานว่าประมาณร้อยละ 50 ของผู้ตอบแบบสอบถามได้ใช้วิธีการเพื่อป้องกันตนเองโดยการลดจำนวนคู่นอน นอกจากนี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบุว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนไข้ทรพิษ 2 โด๊สมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่า 10 เท่า นพ. บรู๊คส์ กล่าวว่าการเฝ้าระวังต่อการกลับเป็นซ้ำจะต้องดำเนินต่อไป และการวิจัยแบบสุ่มและควบคุมเพื่อตรวจสอบยืนยันการรักษาในปัจจุบันจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของเอ็มพอกซ์ในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสำหรับประชากรเหล่านี้

การนำเสนอโดยพญ. โคลอิ ออร์คิน (Dr. Chloe Orkin) จากมหาวิทยาลัยควีนแมรีของกรุงลอนดอน ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ กรณีศึกษาจากทั่วโลกจำนวน 382 รายจาก 19 ประเทศที่พบความรุนแรงของเอ็มพอกซ์ในผู้มีเอชไอวีที่มีจำนวนเซลล์ซีดีสี่ต่ำมากพอที่จะระบุได้ว่าเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เกี่ยวกับโรคเอดส์ จากกรณีทั้งหมดนี้มีผู้เสียชีวิต 27 คน พญ. ออร์คิน เรียกร้องให้หน่วยงานด้านสุขภาพเพิ่มเอ็มพอกซ์เข้ากับภาวะโรคฉวยโอกาสอื่นๆอีก 14 รายการที่อาจมีผลถึงแก่ชีวิตได้สำหรับผู้ที่มีเอชไอวีที่มีจำนวนเซลล์ซีดีสี่ต่ำมาก และสำหรับการตรวจเอชไอวีให้แก่ผู้ที่มีผลบวกต่อเอ็มพอกซ์

โควิด-19 และการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน

การประชุมสัมมนาเรื่องการสื่อสารเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในยุคของข้อมูลที่บิดเบือน (Science Communication in the Age of Misinformation) มีรายงานเกี่ยวกับบทเรียนจำนวนหนึ่งสำหรับการตอบสนองต่อโรคระบาดระดับโลกและการสาธารณสุขในวงกว้าง การวิเคราะห์อภิมานพบว่า 33% ของข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนทั้งหมดบนโซเชียลมีเดียที่เปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นข้อมูลที่ผิด การศึกษาอีกชิ้นพบว่าชาวอเมริกันเกือบ 8 ใน 10 คนไม่แน่ใจกับข้อเท็จจริงอย่างน้อยหนึ่งข้อเกี่ยวกับโควิด-19 หรือวัคซีนโควิด นพ. สก๊อต แรตสัน (Dr. Scott Ratzan) จากมหาวิทยาลัยแห่งกรุงนิวยอร์ค (City University of New York) รายงานว่าประมาณครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตจากโควิด-19 สามารถป้องกันได้  นพ. แรตสัน เน้นการศึกษาล่าสุดในวารสาร Nature ที่ระบุการยอมรับวัคซีนที่เพิ่มขึ้นใน 23 ประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 79 นพ. แรตสัน สำรวจความสำคัญของความคิดที่นอกเหนือไปจากความลังเลใจในวัคซีนเพื่อทำความเข้าใจว่าความคิดเห็นและความเชื่อที่ลื่นไหลเป็นอย่างไร และเขาได้ระบุแนวทางการสร้างความไว้วางใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆกับผู้กำหนดนโยบาย ไปจนถึงการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับชุมชน และการลงทุนในการสื่อสารและการมีส่วนร่วมที่มากขึ้น

ดร. เอมิลิ วรากา (Dr. Emily Vraga) จากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา เสริมต่อจากประเด็นเหล่านี้ นอกจากการหักล้างข้อมูลที่ไม่ดีแล้ว เธอยังพูดถึงแนวคิดของการบิดเบือนข้อมูลอีกด้วยซึ่งรวมถึงการเตรียมผู้คนให้รู้จักข้อมูลที่ผิด ระบุการนำเอาความเชื่อที่ผิดกลับมาใช้ใหม่ และระบุผู้ที่ทำผิดเช่นนี้ที่ทำผิดบ่อยๆครั้ง ดร. วรากาอ้างถึงหนังสือ “Under the Hood of The Debunking Handbook 2020โดย สเตฟาน เลวานดอฟสกี้ (Stephan Lewandowsky)  ดร. ไฮดี ลาร์สัน (Dr. Heidi Larson) จากโรงเรียนแพทยศาสตร์และเวชศาสตร์เขตร้อนกรุงลอนดอน (London School of Hygiene and Tropical Medicine) และผู้ก่อตั้งโครงการเชื่อมั่นในวัคซีน (Vaccine Confidence Project) เน้นประเด็นเกี่ยวกับตัวตน ความเชื่อ ความคับข้องใจ ความไว้วางใจ และความไม่ไว้วางใจที่กระตุ้นให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิดและกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สามารถอ่านรายละเอียดหรือข่าวเกี่ยวกับการนำเสนอที่สำคัญจากการประชุมครอยที่ผ่านไปนี้ในเวปไซต์หลายแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง nam aidsmap และ TheBody