บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ
ในการประชุมเกี่ยวกับเรทโทไวรัสและการติดเชื้อฉวยโอกาส (Conference on Retrovirus and Opportunistic Infections หรือ CROI) ของปี 2023 ที่ผ่านไป การวิจัยที่ได้รับการกล่าวถึงค่อนข้างมากคือการวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันเอชไอวีด้วยยา ต้านไวรัสชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์นานที่จะช่วยลดปัญหาของการกินยาไม่สม่ำเสมอสำหรับผู้ใช้จำนวนหนึ่งที่จะมีผลทำให้ ประสิทธิผลในการป้องกันเอชไอวีลดลง ผู้หญิงในหลายประเทศมีอุปสรรคในการกินยาทุกวันจึงคาดว่ายาฉีดที่ออกฤทธิ์ นานจะเป็นประโยชน์สำหรับหญิงที่มีความเสี่ยงต่อเอชไอวีมากพอสมควร ในเวปไซต์ devex มีข่าวที่ระบุว่ายาต้านไวรัสชนิด ฉีดที่ออกฤทธิ์นานเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการป้องกันเอชไอวี[1]
นักวิจัยส่วนมากตระหนักทันทีถึงศักยภาพของคาโบเทกราเวียร์ (cabotegravir) หรือแค็บ แอลเอ (CAB-LA) ในการป้องกัน เอชไอวี การวิจัยที่สำคัญโครงการหนึ่งที่ศึกษาประสิทธิภาพของแค็บ แอลเอ ในการป้องกันเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อหรือ เพร็พ (PrEP) สำหรับผู้หญิง ยุติก่อนกำหนดหลายเดือนเนื่องจากผลเบื้องต้นของการวิจัยแสดงว่ายาฉีดเหนือกว่ายาแบบรับ ประทานทุกวัน เพราะเมื่อผ่านช่วงต้นที่เริ่มด้วยการกินยาเม็ดแล้ว การฉีดแค็บ แอลเอ หนึ่งเข็มจะมีผลนานถึงแปดอาทิตย์
นับตั้งแต่การวิจัยดังกล่าวสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม ปีคศ. 2020 นักวิจัยต่างพยายามเติมเต็มช่องว่างของความ รู้เกี่ยวกับวิธีการใช้แค็บ แอลเอ อย่างปลอดภัย เพื่อช่วยให้ชุมชนทั่วโลกสามารถเข้าถึงวิธีการที่ดร. ซูนิล โซโลมอน (Dr. Sunil Solomon) นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮ๊อปกินส์ (Johns Hopkins) เรียกว่า “หนึ่งในนวัตกรรมที่ปฏิวัติ วงการการป้องกันเอชไอวีมากที่สุด” ในการประชุมเกี่ยวกับเรทโทไวรัสและการติดเชื้อฉวยโอกาสที่ผ่านมา
การนำเสนอหลายโครงการที่นำเสนอในการประชุมครอย (CROI) ปีนี้เน้นไปที่วิธีการเพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนสามารถ เข้าถึงแค็บ แอลเอ ได้ โดยเฉพาะในชุมชนที่มีรายได้น้อยซึ่งมีความจำเป็นต่อแค็บ แอลเอ มากที่สุด และเพื่อให้เรื่องนี้เป็น ไปได้นักวิจัยกำลังศึกษาบทเรียนจากการขยายผลของเพร็พชนิดกินที่เป็นไปอย่างล่าช้ามากที่บางประเทศประสบปัญหาใน การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันเอชไอวีวิธีนี้ หรือในการทำให้ผู้คนเข้าถึงยาที่ใช้สำหรับเพร็พวิธีนี้ได้ง่ายขึ้น หากว่านักวิจัยสามารถช่วยขยายผลของการจัดสรรทั้งเพร็บชนิดกิน และเพร็พชนิดฉีด (แค็บ แอลเอ) พร้อมกับ วงแหวนช่องคลอดที่ได้รับการอนุมัติเมื่อเร็วๆนี้ซึ่งปล่อยยาต้านไวรัสอย่างช้าๆ การขยายผลวิธีการป้องกันเหล่านี้อาจปูทาง ไปสู่หนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของผู้กำหนดนโยบายด้านเอชไอวี: การนำเสนอวิธีการป้องกันทางชีวเวชศาสตร์สำหรับเอชไอวี
และข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้คนสามารถสลับเปลี่ยนระหว่างทางเลือกในการป้องกันเอชไอวีวิธีการต่างๆได้ตามต้องการ มิทแชล วอร์เรน (Mitchell Warren) ผู้อำนวยการองค์กรเอแวค (AVAC) กล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เรามีตัวเลือก
ทางชีวเวชศาสตร์ที่หลากหลาย…แต่เราต้องออกแบบให้ผู้คนมีทางเลือกที่แท้จริงระหว่างผลิตภัณฑ์ต่างๆ”
หนึ่งในขั้นตอนแรกคือการทำให้แน่ใจว่าทุกคนที่จะได้รับประโยชน์จากแค็บ แอลเอ สามารถเข้าถึงมันได้ แม้ว่า แค็บ แอลเอ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยสำหรับผู้คนจำนวนมากที่มีความเสี่ยงต่อเอชไอวี แต่ก็ยังมีชุมชนที่จำเป็นต้อง มีการวิจัยเพิ่มเติมอยู่รวมถึงผู้ที่ฉีดสารเสพติด
การวิจัยโครงการหนึ่งที่ดำเนินการในสามประเทศในอาฟริกาและมีการนำเสนอที่ครอยแสดงว่ายาฉีดแค็บ แอลเอ มีความปลอดภัยและร่างกายยอมรับได้สำหรับเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ดร. ซีบิล โฮเซก (Dr. Sybil Hosek) นักวิจัยคน หนึ่งของโครงการวิจัย กล่าวว่าในบรรดาเด็กผู้หญิง 55 คนที่เข้าร่วมการวิจัยนั้นไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของยา ไม่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงที่เกี่ยวกับยา ไม่มีเด็กหญิงคนใดที่ติดเอชไอวีในระหว่างการวิจัย และไม่มีการเลิกใช้ ผลิตภัณฑ์เนื่องจากทนอาการข้างเคียงไม่ได้ เช่น ปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีด
ผลการวิจัยดังกล่าวเป็นเรื่องที่สำคัญหากคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าวัยรุ่นหญิงและหญิงสาวอายุน้อยติดเอชไอวีสูงเกิน สัดส่วน ยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) รายงานว่าเด็กหญิงและหญิงสาวอายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปีในซับซาฮะร่าอาฟริกามีแนวโน้ม ที่จะติดเอชไอวีมากกว่าชายหนุ่มถึงสองเท่า
นักรณรงค์ด้านเอชไอวีกล่าวว่าแค็บ แอลเอ อาจเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความพยายามในอนาคตที่จะลด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ และการวิจัยนี้สามารถช่วยให้แน่ใจว่าสามารถใช้แค็บ แอลเอ กับวัยรุ่นได้เพราะการวิจัยให้ข้อมูล ด้านความปลอดภัยที่ช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถอนุมัติแค็บ แอลเอ สำหรับคนอายุน้อยได้
ดร. โฮเซก กล่าวว่า “เป้าหมายสูงสุดของเราคือการได้รับอนุญาตให้ใช้สำหรับวัยรุ่นและสำหรับผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กันเพื่อหลีกเลี่ยงความแตกต่างกันในการเข้าถึงยา” แต่จนถึงตอนนี้มีเพียงสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ซิมบับเว และ อาฟริกาใต้เท่านั้นที่อนุมัติให้ใช้แค็บ แอลเอ ได้กับผู้คนในชุมชนที่มีความเสี่ยงต่อเอชไอวีที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 35 กิโลกรัม และในกรณีของออสเตรเลียต้องเป็นผู้ที่มีอายุอย่างน้อย 12 ปี และยังมีอีกสิบเอ็ดประเทศและสหภาพยุโรปที่ กำลังพิจารณาอนุมัติแค็บ แอลเอ อยู่
แต่ช่องว่างในการวิจัยยังคงอยู่โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ฉีดสารเสพติด ชุมชนนี้ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการวิจัยของแค็บ แอลเอ ถึงแม้ว่าความเสี่ยงในการรับเอชไอวีของกลุ่มผู้ที่ฉีดสารเสพติดจะสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ฉีดถึง 35 เท่า
ดร. โซโลมอน เน้นว่า “เราต้องจริงจังมากขึ้นเกี่ยวกับการรวมผู้ที่ฉีดสารเสพติดในประชากรของการวิจัยของเรา”
ในขณะเดียวกับนักวิจัยต้องคำนึงถึงปฏิกิริยาที่เป็นไปได้ระหว่างแค็บ แอลเอ กับสารเสพติดที่ประชากรกลุ่มนี้ใช้อยู่
ดร. นะยาราดโซ โกดิ (Dr. Nyaradzo Mgodi) นักวิจัยจากซิมบับเวที่ทำการวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับเอชไอวี อธิบาย ที่การประชุมครอยว่า การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดสรรแค็บ แอลเอ ให้กับผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากแค็บ แอลเอ นั้นมี ความสำคัญพอๆกับการพยายามคบคิดว่าใครสามารถใช้แค็บ แอลเอ ได้อย่างปลอดภัย
ดร. โกดิ กล่าวว่า “ในขณะที่เราให้ความสนใจต่อการนำเอาแค็บ แอลเอ ไปขยายผลใช้ เราจำเป็นต้องเสนอทาง เลือกต่างๆของการป้องกันเอชไอวีในอนาคตที่ใช้ช่องทางและแนวทางที่ผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์นั้นต้องการ”
การวิจัยที่กำลังดำเนินอยู่เกี่ยวกับการขยายการจัดสรรเพร็พชนิดกินอาจช่วยเรื่องนี้ได้ การศึกษาเหล่านี้ดำเนิน การตามหลังจากที่พบว่าการใช้เพร็บชนิดกินต่ำกว่าที่คาดไว้ จากข้อมูลขององค์กรเอแวคเมื่อสิ้นปีคศ. 2020 มีผู้ที่ใช้เพร็พ อย่างน้อย 981,000 คน ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ยูเอ็นเอดส์กำหนดไว้ 3 ล้านคนเป็นอย่างมาก
นักวิจัยได้ทดลองการจัดสรรเพร็พในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่คลินิกการแพทย์ ซึ่งรวมถึงความคิดริเริ่มในสองเขต (counties) ของประเทศเคนยาที่อนุญาตให้เภสัชกรเอกชนเป็นคนเริ่มจ่ายเพร็พสำหรับคนที่เริ่มใช้เป็นครั้งแรกได้ ในการ ศึกษาอื่นที่นำเสนอในการประชุมครอย ผู้วิจัยได้เพิ่มบริการอีกหลายชั้นเข้ากับบริการเพร็พที่รวมถึงการเข้าถึงการป้องกัน หลังการสัมผัสเชื้อหรือที่เรียกว่าเพ็พ (PEP) และการเข้าถึงบริการตรวจการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดต่างๆด้วย รูปแบบการให้บริการนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้นักวิจัยคนอื่นๆทำการศึกษาในร้านขายยาของเคนยาเพื่อ ทำนายว่าจะสามารถนำไปใช้ทั่วประเทศได้หรือไม่ ซึ่งอัตราการใช้เพร็พและการใช้อย่างต่อเนื่องอาจเทียบเท่าหรือสูงกว่าที่
พบในสถานบริการด้านสาธารณสุข
ดร. สเตฟานี โรช (Dr. Stephanie Roche) นักวิจัยคนหนึ่งที่ทำการศึกษาในเคนย่ากล่าวว่าพวกเขากำลังเตรียมการ สำหรับการวิจัยโครงการใหม่ที่จะเพิ่มแค็บ แอลเอ และวงแหวนช่องคลอดเข้าไปในชุดของเครื่องมือต่างๆที่เภสัชกร สามารถเสนอให้แก่ผู้ใช้บริการได้
สิ่งนี้เป็นขั้นตอนที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งในรูปแบบของการป้องกันแบบผสมผสานที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับไป-
มาระหว่างวิธีการต่างๆตามความต้องการของพวกเขาในขณะนั้น
นพ. เอลียาห์ คาคานเด (Dr. Elijah Kakande) นักระบาดวิทยาโรคติดเชื้อจากยูกันดากล่าวว่า “ความชอบของ ผู้คนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับความเสี่ยงต่อเอชไอวีของพวกเขา… ความสามารถในการคาดการณ์ความ เสี่ยงและเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละบุคคลโดยพิจารณาจากสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหรือวิถีชีวิตของพวกเขาช่วย เพิ่มโอกาสในการป้องกันและการได้รับการปกป้อง”
นพ. คาคานเด นำเสนอการวิจัยที่ใช้โมเดลทางเลือกแบบไดนามิกซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุมชนไปเยี่ยมผู้ที่อาจมี ความเสี่ยงต่อการติดเอชไอวีและเสนอให้พวกเขาได้รับเพร็พ หรือเพ็พ พร้อมกับทางเลือกที่จะเปลี่ยนวิธีการป้องกันได้เมื่อ เวลาผ่านไป บริการนี้เพิ่มความครอบคลุมของการป้องกันทางชีวเวชศาสตร์ได้ถึง 28% เทียบกับ 0.5% ในกลุ่มควบคุมที่ไม่ สามารถเข้าถึงทางเลือกต่างๆได้
ถึงแม้ว่านพ. คาคานเด จะยอมรับว่ายังมีช่องว่างที่สำคัญอยู่ในการป้องกัน แต่เขากล่าวว่ามี “โอกาสที่จะเพิ่มมาก ยิ่งขึ้นด้วยตัวเลือกที่มากขึ้น” ซึ่งรวมถึงแค็บ แอลเอ และวงแหวนช่องคลอด และยังรวมถึงวิธีการป้องกันในยุคต่อไปที่กำลัง จะเกิดขึ้นด้วยที่รวมถึงยาเหน็บและยาฉีดที่ออกฤทธิ์นาน
ในขณะที่การวิจัยดำเนินต่อไป มิทแชล วอร์เรน กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาถึงความหลากหลายทาง ภูมิศาสตร์และประชากรและรูปแบบการจัดสรรที่หลากหลายเพื่อไม่ให้มีช่องว่างการวิจัยที่สำคัญที่จะขัดขวางการนำเอา แค็บ แอลเอ ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรบริการที่จำแนกสำหรับแต่ละกรณี
มิทแชล วอร์เรน เน้นว่า “นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดโอกาสเดียวในรอบ 42 ปีในการจัดสรรการป้องกันให้เหมาะสม เพราะเรามีตัวเลือกมากมายมากกว่าที่เคยเป็นมา”
“แค็บ แอลเอ เป็นความล้มเหลวของสาธารณสุขในขณะนี้” นพ. แอนดรู ฮิวล์
การนำเอาแค็บ แอลเอ ไปขยายผลใช้ในระดับประชากรจะเป็นไปได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความพร้อม ของระบบสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ความต้องการของผู้ใช้ ความมุ่งมั่นของผู้กำหนดนโยบาย เครื่อง มือและวิธีการป้องกันเอชไอวีอื่นๆที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ และความคุ้มค่าของผลิตภัฒฑ์ สำหรับแค็บ แอลเอ นั้นอุปสรรคสำคัญ ประการหนึ่งที่ต้องจัดการคือราคาซึ่ง ณ ปัจจุบันสูงมากเมื่อเทียบกับวิธีการป้องกันอื่นๆ ถึงแม้ว่าแค็บ แอลเอ จะได้รับการ พิสูจน์แล้วว่ามีคุณสมบัติเหนือกว่าวิธีการป้องกันเอชไอวีอื่นๆ ราคาในปัจจุบันของแค็บ แอลเอ สำหรับประเทศ สหรัฐอเมริกาเท่ากับ 22,000 เหรียญสหรัฐ (หรือ 771,188 บาท) ต่อปีเป็นราคาที่แพงมากสำหรับคนส่วนมากทำให้ผลกระ ทบของแค็บ แอลเอ ในระดับโลกแทบจะไม่มีเลย ในเวปไซต์ Open Forum Infectious Disease ของ Oxford Academic มี บทความทางวิชาการที่ประเมินการเข้าถึงแค็บ แอลเอ ในระดับโลก ด้วยการเปรียบเทียบราคาของแค็บ แอลเอกับราคา ของเพร็พแบบกินทุกวัน และในเวปไซต์ของ nam aidsmap มีบทความที่สรุปผลงานทางวิชาการนี้ดังเนื้อหาด้านล่าง[2]
บทความใน Open Forum Infectious Disease กล่าวว่าราคาของแค็บ แอลเอ จะต้องต่ำกว่าราคาที่ตั้งโดยบริษัทผู้ ผลิตเป็นอย่างมากเพื่อที่ประเทศรายได้ปานกลางในระดับสูง (upper-middle income countries) จะได้ประโยชน์จากแค็บ แอลเอ ในการป้องกันเอชไอวี เพราะราคาปัจจุบันของแค็บ แอลเอ สูงเกินกว่าที่ประเทศรายได้ปานกลางในระดับสูงหลาย ประเทศจะจ่ายได้ ซึ่งทำให้ผลกระทบของแค็บ แอลเอ ต่อการแพร่ระบาดของเอชไอวีในระดับโลกมีน้อยมาก
ในประเทศอาฟริกาใต้ ราคาของแค็บ แอลเอ ต่อเข็มเมื่อเปรียบเทียบกับเพร็พชนิดกินทุกวันควรจะเป็นประมาณ 9-12 เหรียญสหรัฐอเมริกา (315-421 บาท) ต่อเข็ม หรือ 60-119 เหรียญสหรัฐอเมริกา (2,103-4,171 บาท) ต่อปี และจากการ ประเมินของการริเริ่มเพื่อการเข้าถึงสุขภาพของคลินตัน (Clinton Health Access Initiative หรือ CHAI) ประเมินว่าหากว่ามี ความต้องการเพียงพอแล้ว แค็บ แอลเอ จะสามารถผลิตได้ในราคา 15-20 เหรียญสหรัฐอเมริกา (526-701 บาท) ต่อเข็ม
บริษัทวีฟ เฮลท์แคร์ (ViiV Healthcare) ผู้ผลิตแค็บ แอลเอ ประกาศให้อนุญาตโดยความสมัครใจแก่แหล่งรวม สิทธิบัตรยา (Medicines Patent Pool) ที่อนุญาติให้ 90 ประเทศสามารถซื้อยาสามัญ (generic drug) ของแค็บ แอลเอ เพื่อใช้ สำหรับการป้องกันเอชไอวีได้ การอนุญาตดังกล่าวครอบคลุมประเทศยากจน ประเทศรายได้ปานกลางในระดับต่ำ (lower- middle income countries) และทุกประเทศในอาฟริกา (ยกเว้นประเทศลิเบีย)
การอนุญาตดังกล่าวยังครอบคลุมประเทศรายได้ปานกลางในระดับสูงในทวีปอาฟริกาซึ่งรวมถึงประเทศบอตสวา นา (Botswana) กาบอง (Gabon) นามิเบีย (Namibia) มอริเชียส (Mauritius) และอาฟริกาใต้ รวมถึงสาธารณรัฐเซเชลล์ (Seychelles) ที่เข้าเกณฑ์ว่าเป็นประเทศร่ำรวยด้วย
แต่การอนุญาตโดยความสมัครใจนี้ไม่รวมประเทศรายได้ปานกลางในระดับสูงที่อยู่นอกทวีปอาฟริกาหลาย ประเทศ และประเทศเหล่านี้รวมถึงประเทศบราซิล ประเทศไทย ประเทศเม็กซิโก และประเทศโคลอมเบีย ที่มีผลิตภัณฑ์มวล รวมประชาชาติ (Gross National Product หรือ GNP) ต่ำกว่ามอริเชียส และทั้งประเทศไทยและประเทศบราซิลเป็นประเทศที่ ร่วมในการวิจัยที่ศึกษาแค็บ แอลเอ เพื่อป้องกันเอชไอวี ด้วย
บทความวิชาการระบุว่ามี 38 ประเทศที่ถูกกันออกจากการอนุญาตโดยความสมัครใจที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวม ประชาชาติต่ำกว่าสาธารณรัฐเซเชลล์ที่เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อคนสูงที่สุดในอาฟริกา ประเทศที่ถูกกันออกนี้ซึ่งรวม ประเทศไทยด้วยมีประชากรทั้งหมด 2.4 พันล้านคน และประเทศที่ถูกกันออกทั้งหมดนี้ (แต่ไม่รวมประเทศจีนและประเทศ รัสเซียที่ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการติดเอชไอวีรายใหม่และความชุกของการติดเอชไอวีไม่แน่นอน) มีผู้ติดเอชไอวีรายใหม่รวม แล้วเท่ากับ 122,000 คนต่อปี หรือ 8% ของทั้งโลก
หากถือว่าแค็บ แอลเอ จะสามารถป้องกันการติดเอชไอวีรายใหม่ในประเทศที่ถูกกันออกนี้ในอัตราเดียวกันกับที่ พบในการวิจัยทางคลินิก 2 โครงการที่ใช้แค็บ แอลเอ ในการป้องกันการติดเอชไอวีแล้ว คนจำนวน 7.7 ล้านคนในประเทศ ที่ถูกกันออกจะต้องใช้แค็บ แอลเอ เพื่อป้องกันการติดเอชไอวี 122,000 ราย ซึ่งหมายถึงว่าคน 63 คนต้องได้ใช้แค็บ แอลเอ จึงจะป้องกันการติดเอชไอวี 1 รายได้ ดังนั้นประเทศที่ถูกกันออกทั้งหมดจะต้องใช้เงิน 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (385,550 ล้านบาท) ต่อปี เพื่อจัดสรรแค็บ แอลเอ ในราคาต่ำสุดที่บริษัทวีฟตั้ง (1,440 เหรียญสหรัฐอเมริกา หรือ 50,472 บาท ต่อปี) ให้แก่คน 7.7 ล้านคน
ผู้เขียนของบทความวิชาการกล่าวว่าการอนุญาตโดยความสมัครใจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะกันประเทศรายได้ปาน กลางที่มีการติดเอชไอวีรวมกันแล้วมากกว่าประเทศในอาฟริกาที่จะได้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ จากการเปรียบเทียบ ประเทศต่างๆด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติและการติดเอชไอวีรายใหม่แล้ว ประเทศรายได้ปานกลาง 10 ประเทศที่มี อัตราการติดเอชไอวีสูงที่สุดที่อยู่นอกทวีปอาฟริกาจะมีจำนวนผู้ติดเอชไอวีรายใหม่สูงกว่าประเทศในอาฟริกาที่มีผลิตภัณฑ์ มวลรวมประชาชาติสูงสุด 10 ประเทศแรกแต่ไม่รวมประเทศอาฟริกาใต้ถึง 3 เท่า
ทีมผู้เขียนตั้งข้อคำถามเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวของประเทศแต่เพียงอย่างเดียวเป็น เกณฑ์ในการประเมินความสามารถในการจ่ายของประเทศโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายสำหรับบริการด้านสุขภาพและความ ไม่เท่าเทียมที่ทำให้คนบางกลุ่มมีความเสี่ยงต่อเอชไอวีที่สูงกว่าคนอื่นว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ ทีมผู้เขียนกล่าวว่าการ เข้าไม่ถึงแค็บ แอลเอ จะทำให้ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้างแย่มากขึ้น เพราะความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้างทำให้คน จำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงบริการที่เกี่ยวกับเอชไอวีได้เท่าที่ควร ซึ่งส่งผลทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่สามารถควบคุมปริมาณ ไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำจนไม่สามารถวัดได้
นพ. แอนดรู ฮิวล์ (Dr. Andrew Hill) จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลที่เป็นผู้เขียนหลักของบทความวิชาการนี้กล่าวว่าแค็บ แอลเอ เป็นความล้มเหลวของสาธารณสุขในขณะนี้เพราะว่าแทบจะไม่มีการใช้มันเลย ทั้งนี้เป็นเพราะราคาที่สูงของ
แค็บ แอลเอ ทำให้มันไม่มีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเพร็พชนิดกินทุกวัน นพ. ฮิวล์เตือนว่าการใช้แค็บ แอลเอ ที่ราคาสูงจะ ทำให้งบประมาณที่จำกัดถูกใช้ไปหมดแทนที่จะนำเอางบประมาณนั้นไปใช้สำหรับเพร็พชนิดกิน ผลที่จะตามมาคือมีการติด เอชไอวีมากขึ้น
_________________
1 ‘Revolutionary’ HIV prevention jab set to expand choices for consumers โดย Andrew Green เมื่อ 1 มีนาคม 2566 ใน https://www.devex.com/news/ revolutionary-hiv-prevention-jab-set-to-expand-choices-for-consumers-105036
[2] Cabotegravir—Global Access to Long-Acting Pre-exposure Prophylaxis for HIV โดย Pepperell T, Cross S และ Hill A.ใน https://academic.oup.com/ ofid/article/10/1/ofac673/6907486 และ Cabotegravir long-acting PrEP out of reach for upper middle-income nations โดย Keith Alcorn เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ใน https://www.aidsmap.com/news/feb-2023/cabotegravir-long-acting-prep-out-reach-upper-middle-income-nations