บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ
องค์การอนามัยโลกประกาศว่าโรคฝีดาษลิง (monkeypox) เป็นภาวะวิฤตด้านสุขภาพของโลกเมื่อวันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากการประชุมครั้งที่สองของคณะกรรมการฉุกเฉินเกี่ยวกับไวรัสขององค์การอนามัยโลก ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับรายงานมากกว่า 16,000 รายจาก 75 ประเทศทั่วโลก [1]และมีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้ว 5 คน
ในปัจจุบันมีโรคระบาดที่ถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤตสองโรคคือโควิด-19 และการระบาดของโปลิโอ และถึงแม้ว่าคณะกรรมการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรถือว่าการระบาดของโรคฝีดาษลิงเป็นภาวะวิกฤตทางสุขภาพหรือไม่ แต่เนื่องจากโรคฝีดาษลิงได้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วทำให้ดร. เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส (Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกตัดสินว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่โลกต้องกังวล[2]
ดร. เกเบรเยซุส ให้เหตุผลเกี่ยวกับการคัดค้านการตัดสินใจของคณะกรรมการฉุกเฉินเกี่ยวกับไวรัสขององค์การอนามัยโลกว่าโรคฝีดาษลิงระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วและมีกลไกของการแพร่เชื้อที่เรายังไม่เข้าใจมากนัก และเข้าเกณฑ์ของภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับสาธารณสุข การประกาศเช่นนี้เป็นการส่งสัญญานให้นานาประเทศร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหารวม ถึงการลงทุนและทรัพยากรต่างๆสำหรับควบคุมการระบาด เพิ่มการลงทุนสำหรับการทำงาน และแชร์วัคซีน ยารักษา และ ทรัพยากรต่างๆ ในการควบคุมแก้ไขปัญหา[3]
เพียงเวลาเก้าสัปดาห์ที่สหราชอาณาจักรประกาศว่าตรวจพบโรคฝีดาษลิง 4 ราย ซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็นไวรัสเฉพาะถิ่นในอาฟริกาตะวันตกและอาฟริกากลางเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมาจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นมากในหลายประเทศทั่วยุโรป อเมริกาเหนือและใต้ ตะวันออกกลาง ในภูมิภาคอื่นของอาฟริกา เอเซียใต้ และออสเตรเลีย จากการสัมภาษณ์กับผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญหลายคนไม่เชื่อว่าการระบาดนี้จะเป็นเรื่องที่สามารถควบคุมได้แล้ว[4]
นพ. แกรี โคบินเกอร์ (Dr. Gary Kobinger) ผู้อำนวยการของห้องปฏิบัติการแห่งชาติกัลเวสตัน (Galveston National Laboratory) ของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเท็กซัสและสมาชิกคณะกรรมการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ณ เวลานี้เราคงพลาดรถไฟขบวนนั้นไปแล้ว
ความรู้สึกที่น่ากังวลนี้เป็นความรู้สึกของผู้ที่ทำงานในคลินิกเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่กลายเป็นแนวหน้าของการตรวจวินิจฉัยการเป็นโรคฝีดาษลิงเช่นกันเพราะส่วนมากแล้วโรคนี้แพร่ระบาดในชายมีเพศสัมพันธ์กับชายในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และหลายๆ ประเทศอีกเป็นจำนวนมาก
เดวิด ฮาร์วีย์ (David C. Harvey) กรรมการบริหารของพันธมิตรระดับประเทศของผู้อำนวยการด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (National Coalition of STD Director) ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของคลินิกสุขภาพทางเพศ กล่าวว่าวงการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เตรียมพร้อมต่อการทำงานที่ยืดยาวและเขากังวลว่าโรคฝีดาษลิงอาจถูกตีความว่าเป็นโรคเฉพาะของกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายเท่านั้น
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมองเรื่องนี้ในแง่ร้ายอย่างสิ้นเชิง แพทย์หญิง โรเชล วาเลนสกี้ (Prof. Rochelle Walensky) ผู้อำนวยการของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา และ พญ. รอสซิมัน ลูอิส (Dr. Rosamund Lewis) หัวหน้าด้านเทคนิคขององค์การอนามัยโลกด้านโรคฝีดาษลิงเชื่อว่าด้วยความพยายามเป็นอย่างมากจะทำให้การแพร่ระบาดในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายถูกหยุดได้
พญ.วาเลนสกี้ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีแต่ไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ดีไปตลอดกาลคิดว่าการยุติการแพร่ระบาดของฝีดาษลิงยังเป็นสิ่งที่ทำได้ เธอชี้ว่าเมื่อพูดถึงโอกาสในการควบคุมการระบาดแล้ว เธอหมายถึงสถานการณ์ใน สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่จะต้องหยุดการแพร่เชื้อหากต้องการที่จะควบคุมการระบาด
การมองโลกในแง่ดีของ พญ.วาเลนสกี้ สำหรับเรื่องนี้เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่การระบาดของไวรัส ดูเหมือนจะแพร่กระจายภายในชุมชนที่กำหนดได้ชัดเจนและเป็นชุมชนที่ได้ระดมกำลังกันเพื่อบอกกันต่อๆไปเกี่ยวกับความ เสี่ยงที่สมาชิกกำลังเผชิญอยู่ และเสริมว่าภายในชุมชนนี้ได้มีความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสกับเชื้อไปแล้วก่อนที่เราจะตรวจ วินิจฉัยได้อย่างเพียงพอ ก่อนที่เราจะให้ความรู้ได้อย่างเพียงพอ ทั้งในฝั่งของผู้ให้บริการและฝั่งผู้ป่วย และในขณะนี้มีหลายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
ส่วน พญ. ลูอิส มีความระมัดระวังมากกว่าในการประเมินของเธอโดยกล่าวว่าคำว่าการมองโลกในแง่ดีอาจไม่ใช่คำที่ถูกต้องนักแต่เธอคิดว่าการควบคุมการระบาดเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่มันหมายความว่าหากจะยุติการแพร่ระบาด ทุกประเทศทั่วโลกจะต้องทำทุกอย่างโดยเร่งด่วนและอย่างเต็มที่ รวมถึงประเทศและพื้นที่ที่ยังไม่มีการระบาดด้วย
แต่คนที่วิพากษ์วิจารณ์ต่อความพยายามในการควบคุมการระบาดนั้นมีจำนวนมากมีการโต้เถียงกันในสื่อทางสังคมต่างๆ และในบทบรรณาธิการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตรวจการติดเชื้อที่ไม่เพียงพอ การนำเอาวัคซีนไปใช้ที่ช้าเกินไป การสื่อสารของหน่วยงานสาธารณสุขเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ลังเลมากเกินไป และในความพยายามที่จะไม่ก่อให้เกิดความผิดพลาด เหมือนกับเอชไอวีในยุคแรกๆ การสื่อสารบางอย่างเกี่ยวกับฝีดาษลิงในระยะแรกๆ ไม่เฉพาะเจาะจงเพียงพอเกี่ยวกับผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด
มีคนจำนวนหนึ่งที่คร่ำครวญถึงความจริงว่าโลกปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นที่แน่ชัดว่าการแพร่ระบาดของฝีดาษลิงได้เปลี่ยนไปและไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในประเทศไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่มีไวรัสที่ก่อให้เกิดฝีดาษลิงอาศัยอยู่ในสัตว์ตระกูลหนูและสัตว์ขนาดเล็ก และในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีกรณีของฝีดาษลิงมากขึ้นและมีหลายกรณีที่เดินทางไปสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา อิสราเอล และสิงคโปร์ ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง
พญ. แอน ริมอยน์ (Dr. Anne Rimoin) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคฝีดาษลิงจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส กล่าวโอกาสที่จะควบคุมการระบาดลดลงไปเรื่อยๆ ทุกวัน และเป็นเรื่องที่ไม่ดีจริงๆเพราะโรคนี้ไม่ใช่ไวรัสที่เราไม่รู้จัก เรามีเครื่องมือหลายอย่างอยู่แล้ว เรามีวัคซีนพร้อมที่จะใช้อยู่แล้วแม้กระทั่งวัคซีนที่ใช้สำหรับฝีดาษลิงโดยเฉพาะ เรามีการบำบัดรักษา และเรารู้ว่าจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบ้าง
แต่ในขณะเดียวกันก็มีความท้าทายที่สำคัญอยู่หลายอย่างและไม่รวมถึงความจริงที่ว่าในสองปีครึ่งของการแพร่ระบาด ระดับโลกของโควิด-19 บุคลากรด้านสาธารณสุขทั่วโลกทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อยจวนจะหมดแรงอยู่แล้วเปรียบเหมือนกับเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักมาตลอดจนน้ำมันหมดถังและเครื่องยังติดอยู่เพราะไอระเหยของน้ำมันเท่านั้น
พญ. อโกริทซา บาคะ (Dr. Agoritsa Baka) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเตรียมพร้อมและการรับมือเหตุฉุกเฉินที่ศูนย์ป้องกันและ ควบคุมโรคแห่งยุโรปในสตอกโฮล์มกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับประเทศต่างๆ นอกจากนั้นการระบาดนี้เกิด ขึ้นทางกลางคลื่นการระบาดล่าสุดของไวรัสผันแปรโอมะครอนสายพันธุ์ย่อยบี.เอ. 5 (BA. 5) ดังนั้นตอนนี้หลายอย่างกำลัง ท่วมหัวเราอยู่ พญ. บาคะ เสริมว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพ 3 กรณีได้แก่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ยังเป็นอยู่ การแพร่ระบาดของฝีดาษลิงที่กำลังขยายมากขึ้น และการสอบสวน กรณีโรคตับอักเสบรุนแรงที่ไม่รู้สาเหตุในเด็กเล็ก แต่โชคดีที่กรณีสุดท้ายถูกมอบหมายให้คนอื่นไปแล้ว
พญ. บาคะ คิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือโรคระบาดของฝีดาษลิงที่เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้วเกิดทับการระบาดโควิด-19 ที่ใหญ่มาก จึงเป็นสิ่งที่มากเกินไปสำหรับบริการด้านสาธารณสุขและหน่วยงานทั่วๆไป
____________
[1] ในวารสาร Nature https://www.nature.com/articles/d41586-022-02054-7 ระบุว่ามีผู้ที่เป็นฝีดาษลิงที่ได้รับรายงาน 16,500 คนจากเกือบ 80 ประเทศที่ไม่เคยพบโรคนี้มาก่อนเลย
[2] Monkeypox: WHO declares highest alert over outbreak โดย Robert Plummer เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 ใน https://www.bbc.com/news/health-62279436
[3] W.H.O. Declares Monkeypox Spread a Global Health Emergency โดย Apoorva Mandavilli เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 ใน https://www.nytimes.com/2022/07/23/health/monkeypox-pandemic-who.html?
[4] With monkeypox spreading, many experts believe virus can’t be contained โดย Helen Branswell เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ใน https://www.statnews.com/2022/07/19/monkeypox-spread-many-experts-believe-the-virus-cant-be-contained/