
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของปี 2024
อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ แปล
วารสารซายเอินสฺ (Science) ซึ่งเป็นวารสารด้านวิชาการที่เผยแพร่ผลงานวิจัยที่ได้รับการทบทวนจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว (peer-reviewed) ของสมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (American Association for the Advancement of Science) ฉบับวันที่ 12 ธันวาคม คศ. 2024 สรุปผลงานทางวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ ที่ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของปีคศ. 2024 ที่รวมถึงความก้าวหน้าเกี่ยวกับการป้องกันเอชไอวีที่ออกฤทธิ์นานที่มีประสิทธิผลสูงมากดังรายละเอียดด้านล่าง[1]

โอกาสสำเร็จมีน้อยมาก
ยาฉีดเอชไอวีที่ใช้กลไกใหม่แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งในการป้องกันการติดเชื้อโดย จอนโคเฮน (Jon Cohen)
แม้ว่าจะโลกจะมีความก้าวหน้ามาหลายสิบปี แต่ยังมีผู้ติดเอชไอวีมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี และยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันได้ แต่ในปีนี้โลกได้เห็นสิ่งที่อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดรองลงมา นั่นก็คือยาฉีดที่ช่วยป้องกันผู้คนได้นานถึง 6 เดือนต่อการฉีดแต่ละครั้ง
การวิจัยทางคลินิกเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพขนาดใหญ่ในกลุ่มเด็กสาวและหญิงสาวชาวอาฟริกาได้รายงานผลเมื่อเดือนมิถุนายนว่าการได้รับยาฉีดชนิดนี้ลดการติดเอชไอวีลงเหลือศูนย์ – ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพถึง 100% ข้อกังขาเกี่ยวกับผลการวิจัยดังกล่าวหมดไปใน 3 เดือนต่อมา เมื่อการวิจัยที่คล้ายคลึงกันและดำเนินการใน 4 ทวีป ได้รายงานว่ามีประสิทธิภาพ 99.9% ในผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
นักวิจัยด้านเอชไอวี/เอดส์หลายคนตั้งความหวังว่ายาเลนาคาพาเวียร์จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อทั่วโลกได้อย่างมีสมรรถภาพเมื่อใช้เป็นยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (เพร็พ) ลินดา-เกลเบคเกอร์ (Linda-Gail Bekker) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากมหาวิทยาลัยเคปทาวน์ ซึ่งเป็นผู้นำในการวิจัยเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพ 1 ใน 2 โครงการวิจัยให้แก่บริษัทกิเลียดซายเอินสฺ (Gilead Sciences) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยา กล่าวว่า “ยานี้มีศักยภาพ หากเราใช้ให้ถูกต้อง ซึ่งหมายถึงต้องลงมือทอย่างเต็มที่และมีพร้อมให้คนเข้าถึงได้”
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่วารสารซายเอินสฺ (Science) เลือกเลนาคาพาเวียร์ให้เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญสำหรับปี 2024 (Breakthrough of the Year 2024) ความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายของเพร็พเป็นผลจากความก้าวหน้าในการวิจัยขั้นพื้นฐาน นั่นคือความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างและหน้าที่ของโปรตีนแคปซิด (capsid protein) ของเอชไอวี ซึ่งเป็นเป้าหมายของเลนาคาพาเวียร์ ไวรัสหลายชนิดมีโปรตีนแคปซิดของตัวเอง ซึ่งเป็นปลือกหุ้มสารพันธุกรรม ดังนั้นความสำเร็จของยานี้ช่วยเพิ่มโอกาสที่น่าตื่นเต้นว่าสารยับยั้งแคปซิดที่คล้ายคลึงกันอาจใช้ต่อสู้กับโรคที่เกิดจากไวรัสอื่น ๆ ได้
การรักษาเอชไอวีมีความก้าวหน้าอย่างมากมายกว่าสมัยก่อนๆ เมื่อการติดเชื้อทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงอย่างน่ากลัวระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายยับเยิน นำไปสู่การติดเชื้อชนิดอื่นๆที่รุนแรงและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในปีคศ. 1996 (พศ. 2539) นักวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาต้านไวรัสหลายตัวร่วมกันมีประสิทธิภาพสามารถยับยั้งเอชไอวีได้อย่างเต็มที่และชะลอพัฒนาการของโรคเอดส์ ซึ่งวารสารซายเอินสฺระบุว่าเป็นความก้าวหน้าในปีนั้น ส่วนยาต้านไวรัสในปัจจุบันมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าสามารถช่วยให้ผู้คนนับล้านคนสามารถมีอายุขัยตามปกติได้แม้ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถควบคุมได้ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาและไวรัสถูกกดไว้มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นน้อยมาก การค้นพบนี้ทำให้วารสารซายเอินสฺประกาศว่า “การรักษาเพื่อการป้องกัน” เป็นความก้าวหน้าแห่งปีคศ. 2011 (พศ. 2554) เมื่อผู้คนทั่วโลกเข้าถึงยาได้มากขึ้น การติดเชื้อใหม่ทั่วโลกจึงลดลงจาก 2.1 ล้านคนในปีคศ. 2011 (พศ. 2554) เหลือ 1.3 ล้านคนในปีที่แล้ว
สิ่งที่ช่วยลดอัตราการติดเชื้ออื่น ๆ ได้แก่การใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายการแลกเปลี่ยนเข็ม การให้ความรู้ และรวมถึง “เพร๊พแบบกิน” ซึ่งได้รับอนุมัติครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในปีคศ. 2012 (พศ. 2555) เพร็พที่เป็นยาเม็ดให้การป้องกันที่มีประสิทธิภาพ หากผู้คนกินยา ในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ยานี้ช่วยให้การติดเอชไอวีรายใหม่ลดลงเกือบเป็นศูนย์ในซานฟรานซิสโก ซิดนีย์ และอัมสเตอร์ดัม แต่ต้องรอเวลาหลายปีก่อนที่ประเทศที่ยากจนจะสามารถเข้าถึงยาสามัญของเพร็พชนิดเม็ดนี้ได้ และหลายประเทศในอาฟริกา เด็กสาวและผู้หญิงกินยา
เป็นครั้งคราว ไม่ต่อเนื่อง เนื่องจากอุปสรรคต่างๆเช่น การตีตราและพลวัตของความสัมพันธ์ ในปีคศ. 2021 (พศ. 2564) เพร็พที่เรียกว่าคาโบเทกราเวียร์ (cabotegravir) เข้าสู่ตลาดสำหรับฉีดทุก 2 เดือน แต่ยานี้ก็ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากราคาแพงและความสนใจที่ค่อนข้างน้อยเช่นกัน
ความก้าวหน้าหยุดชะงักไป ทำให้โลกยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยโครงการร่วมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยเอชไอวี/เอดส์ (ยูเอ็นเอดส์) ซึ่งตั้งเป้าจำนวนผู้ติดเอชไอวีรายใหม่ให้ลดลงต่ำกว่า 370,000 รายในปีหน้า และต่ำกว่า 200,000 รายในปีคศ. 2030 (พศ. 2573) ซึ่งเลนาคาพาเวียร์อาจช่วยให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้ เลนาคาพาเวียร์ทำให้โลกของเพร็พเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาด้วยข่าวที่ว่าในการวิจัยแบบปกปิดข้อมูลในกลุ่มผู้หญิงและเด็กสาวตามเพศกำเนิดมากกว่า 5,000 คนในอาฟริกาใต้และยูกันดา ผู้ที่ได้รับยาฉีดนี้ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ติดเอชไอวี ต่อมาในเดือนกันยายน การวิจัยเพร็พครั้งที่สองของเลนาคาพาเวียร์พบการติดเชื้อเพียงสองรายจากผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวนมากกว่า 2,000 คน ที่เป็นชายตามเพศกำเนิด ชายแปลงเพศ และผู้หญิง และผู้ที่ไม่ระบุเพศสภาพในอเมริกาใต้ เอเชียอาฟริกา และสหรัฐอเมริกา
มิทแชลล์ วอร์เรน (Mitchell Warren) ซึ่งเป็นหัวหน้าของเอแวค (AVAC) องค์กรไม่แสวงหากำไรที่เริ่มต้นจากการเป็นแนวร่วมรณรงค์เพื่อวัคซีนเอดส์ ( AIDS Vaccine Advocacy Coalition) และได้มุ่งเน้นที่เพร๊พเป็นหลักมาโดยตลอด กล่าวว่า “เราไม่เห็นข้อมูลแบบนี้ทุกวัน”
ต่างจากยาต้านไวรัสเอชไอวีที่เป็นยาหลักต่างๆที่ทำลายเอนไซม์ของไวรัสโดยการจับกับเอนไซม์ของไวรัสที่ “ตำแหน่งที่ทำงาน” ซึ่งทำให้เอนไซม์ทำงานไม่ได้ แต่เลนาคาพาเวียร์จะออกฤทธิ์ที่โปรตีนแคปซิดซึ่งเป็นเกราะป้องกันรูปกรวยหุ้มอาร์เอ็นเอของไวรัส ในตอนแรกนักวิจัยไม่ได้คิดว่าแคปซิดเป็นเป้าหมายเฉพาะที่ “ป้องกันด้วยยาได้” ในทศวรรษที่ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 นักวิจัยได้แสดงให้เห็นว่ากรวยดังกล่าวจะทำปฏิกริยากับโปรตีนของเซลล์เพื่อทำงานสำคัญหลายอย่างที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ ผู้ผลิตยาสันนิษฐานว่าการปิดกั้นปฏิกริยาเหล่านี้จะต้องอาศัยโมเลกุลยาหลายชนิดโดยแต่ละโมเลกุลจะจับกับโปรตีนแคปซิดหลายตัว
การค้นพบใหม่นี้สร้างความเข้าใจใหม่ว่าแคปซิดทำงานอย่างไร โดยแสดงให้เห็นว่ากรวยนั้นประกอบด้วยโครงตาข่ายที่เสถียรแต่ยืดหยุ่นได้ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มโมเลกุล 5 และกลุ่มโมเลกุล 6 ความรู้ใหม่นี้ทำให้นักเคมีของบริษัทกิเลียดสนใจและนำไปสู่การสร้างเลนาคาพาเวียร์ในที่สุด ต่อมานักวิจัยพบว่ากรวยจะไม่แตกสลายทันทีเมื่อเอชไอวีเข้าสู่เซลล์ตามที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ยังคงสภาพเดิมและสามารถบีบตัวผ่านรูพรุนของเยื่อหุ้มนิวเคลียสเพื่อส่งยีนของไวรัสเข้าไปในเซลล์ได้
ปรากฏว่าเลนาคาพาเวียร์ไม่เพียงแต่ขัดขวางปฏิกริยาระหว่างแคปซิดกับโปรตีนในเซลล์เท่านั้น แต่ยังทำให้กรวยมีความแข็งขึ้นด้วย ซึ่งดูเหมือนจะป้องกันไม่ให้แคปซิดบีบตัวมุดเข้าไปในนิวเคลียสได้ และแม้ว่ายาไม่สามารถขัดขวางขั้นตอนนี้ได้และเซลล์ยังสร้างโปรตีนของเอชไอวี ยาตัวนี้ยังทำให้ซับยูนิตแคปซิดที่เพิ่งผลิตขึ้นใหม่แข็งตัวขึ้นเช่นกัน และขัดขวางการสร้างกรวยใหม่และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของไวรัส
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาอีกประการหนึ่งคือ เลนาคาพาเวียร์ไม่ละลายน้ และร่างกายมีปัญหาในการดูดซึมยา แต่เมื่อทีมของบริษัทกิเลียดพัฒนายาให้เป็นโมเลกุลที่ใช้ฉีดได้ จุดอ่อนนี้ได้กลายเป็นจุดแข็งในคุณสมบัติพิเศษของยา ทำให้ยาสามารถออกฤทธิ์อยู่ในร่างกายได้นานขึ้น
เลนาคาพาเวียร์แบบฉีดวางจำหน่ายมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว โดยเป็นยารักษา “สูตรกู้ภัย” สำหรับผู้ที่ติดไวรัสที่ใช้ยาตัวอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล ปัจจุบันยาตัวนี้อาจกลับมามีชีวิตอีกครั้งในฐานะรูปแบบเพร็พที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เลนาคาพาเวียร์ที่ใช้เป็นเพร็พจะกลายเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายได้หรือไม่ และจะช่วยทำให้การระบาดของเอชไอวี/เอดส์สิ้นสุดลงเร็วขึ้นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงยา การจัดสรรยา และรวมถึงความต้องการด้วย คาดว่าการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างเร็วที่สุดจะเป็นในช่วงกลางปีคศ. 2025 (พศ. 2568) ส่วนราคาก็ยังไม่ได้ประกาศซึ่งจะกำหนดว่าใครที่จะสามารถซื้อได้ ทั้งนี้บริษัทกิเลียดได้ทำข้อตกลงกับผู้ผลิตยาสามัญ 6 รายเพื่อผลิตยาต้นทุนต่ำสำหรับประเทศกำลังพัฒนา 120 ประเทศ แต่สำหรับประเทศที่มีรายได้ปานกลาง เช่น บราซิล ซึ่งมีผู้ติดเอชไอวีมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการลดราคาให้ และรัฐบาลที่ขาดแคลนทรัพยากรอาจไม่มีงบประมาณแม้แต่สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ลดราคาแล้วปัญหาระบบการดูแลสุขภาพที่มีภาระงานล้นมือ ความไม่สงบทางสังคม เหตุการณ์สภาพอากาศที่เลวร้าย และความท้าทายด้านการขนส่ง อาจเป็นอุปสรรคต่อการจัดส่ง และผู้คนจะต้องเต็มใจที่จะฉีดยาทุก ๆ 6 เดือน
บริษัทกิเลียดได้ปรับปรุงสูตรยาเลนาคาพาเวียร์ขึ้นมาใหม่เมื่อไม่นานนี้ และมีแผนจะเริ่มการวิจัยเพื่อตรวจสอบว่าการฉีดยานี้เพียงเข็มเดียวสามารถป้องกันได้หนึ่งปีหรือไม่ จีนน์ มาร์ราซโซ (Jeanne Marrazzo) หัวหน้าสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (U.S. National Institute of Allergy and Infectious Diseases) กล่าวว่าแม้ว่ายาเลนาคาพาเวียร์เพร็พจะมีประสิทธิภาพมากในปัจจุบันและอาจรวมถึงในอนาคตด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทดแทนวัคซีนได้ มาร์ราซโซเชื่อมั่นว่ายาตัวนี้จะช่วย “ลดอุบัติการณ์การติดเอชไอวีในพื้นที่ที่ท้าทายที่สุดของเราได้อย่างมาก” แต่วัคซีนสามารถฉีดให้กับทุกคนได้ ไม่ใช่แต่เพียงผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น ต้นทุนการผลิต[วัคซีน]เพียงไม่กี่ดอลลาร์ และอยู่ได้นานหลายปีด้วยการฉีดเพียงไม่กี่ครั้ง เธอเน้นว่า “เราต้องค้นหาวิธีการต่อสู้ต่อไปที่จะสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนสำหรับแต่ละบุคคล หากเราต้องการยุติการติดเอชไอวีอย่างจริงจัง”
แม้ว่าเลนาคาพาเวียร์แบบฉีดอาจไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายที่ยูเอ็นเอดส์ตั้งไว้ แต่ก็มีศักยภาพในการปกป้องผู้คนนับล้านจากการติดเชื้อ มันเป็นส่วนเสริมอันทรงพลังของชุดความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่น่าตื่นเต้นซึ่งเมื่อยาเข้าถึงผู้คนที่มีความจำเป็นต้องใช้ยามากที่สุด ก็จะทำให้เอชไอวี/เอดส์ค่อย ๆ ถดถอยอย่างต่อเนื่องจากการเป็นโรคที่ทำลายชุมชนทั้งหมดกลายมาเป็นโรคที่หายาก
____________________________________
[1] The Long Shot โดย Jon Cohen ใน https://www.science.org/doi/epdf/10.1126/science.adv2100