ปัจจัยเสี่ยงต่อไข้หวัดใหญ่รุนแรง

อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ แปล

การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่กำลังเพิ่มขึ้นทั่วไป สิ่งที่คุณควรทราบมีดังต่อไปนี้ [1]

ภาพโดย Peter Dazeley/Getty Images ใน AARP

อาการเจ็บคอ คัดจมูก มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว และอ่อนเพลีย ทั่วประเทศ[สหรัฐอเมริกา]มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปลายเดือนธันวาคม [2567]

ในระหว่างปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีผู้ป่วยประมาณ 11,900 รายที่ได้รับการตรวจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ การมาตรวจที่โรงพยาบาลเนื่องจากอาการไข้หวัดใหญ่มีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน

สำหรับคนจำนวนมากแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดอาการเหล่านี้ได้ภายในเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่สำหรับบางคน ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (Centers for Diseasec Control and Prevention) พบว่าทุกปีมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลมากถึง 710,000 ราย และเสียชีวิต 51,000 ราย

การวิเคราะห์ล่าสุดโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาที่ทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการของไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ปีคศ. 2010 (พศ. 2543) ถึงปีคศ. 2023 (พศ. 2566) พบว่ามีปัจจัยบางประการที่ทำให้คนมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลลัพธ์ต่อสุขภาพที่เลวร้ายขึ้น

อายุ: เด็กเล็กและผู้สูงอายุมักจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ในอัตราที่สูงที่สุด เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาไม่แข็งแรงเท่าเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่อายุน้อย ซึ่งหมายความว่าเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อน้อยกว่า

ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 2 ประเภทที่สามารถสร้างความหายนะได้ในทุกฤดู[ไข้หวัดใหญ่] ได้แก่ ประเภทเอ (Type A) และประเภทบี (Type B) อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่สูงที่สุดตั้งแต่ปีคศ. 2010 ในฤดูไข้หวัดใหญ่เกิดขึ้นในช่วงที่ไวรัสประเภทเอระบาดเป็นส่วนใหญ่ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่าสาเหตุเป็นเพราะผู้สูงอายุมีแนวโน้มสูงที่จะติดเชื้อไวรัสเอชสามเอ็นสอง (H3N2) ซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ประเภทเอ

ความผิดปกติทางระบบประสาท: เด็กบางคนที่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น โรคลมบ้าหมู สมองพิการ และสมาธิสั้น อาจมีปัญหาในการทำงานของกล้ามเนื้อและปอด และอาจมีปัญหาในการไอหรือขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจ ซึ่งอาจทำให้อาการไข้หวัดใหญ่รุนแรงขึ้นหรืออาจนำไปสู่โรคปอดบวมได้

โรคปอด: ไข้หวัดใหญ่สามารถกระตุ้นให้หอบหืดกำเริบในเด็กที่เป็นโรคนี้อยู่ก่อน ซึ่งทำให้ทางเดินหายใจมีการอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดโรคปอดบวมและปัญหาทางเดินหายใจอื่นๆ ที่อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (obstructive pulmonary disease)​ และมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายจะกำจัดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ยากขึ้น นอกจากนี้ การติดเชื้อยังทำให้ทางเดินหายใจอักเสบมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบากยิ่งขึ้น

การตั้งครรภ์: หญิงวัยเจริญพันธุ์เกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยไข้หวัดใหญ่ในช่วง 13 ฤดูไข้หวัดใหญ่เป็นคนตั้งครรภ์ จากการตรวจสอบข้อมูลโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา การวิจัยหลายโครงการแสดงให้เห็นว่าฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์กดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้มีอาการป่วยรุนแรงขึ้นและมีอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงขึ้น การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในระหว่างตั้งครรภ์ยังส่งผลต่อความเสี่ยงของทารกในครรภ์อีกด้วย

โรคอ้วน: ดร.ซูซาน สแพรตต์ (Dr. Susan Spratt) ศาสตราจารย์แผนกต่อมไร้ท่อ การเผาผลาญ และโภชนาการ (division of endocrinology, metabolism and nutrition) ของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยดุค (Duke University School of Medicine) กล่าวว่าโรคอ้วนมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานผิดปกติ (หรือโรคเมตาบอลิซึม – metabolic diseases) เช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดควบคุมได้ยากขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอาจส่งผลต่อการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้น และทำให้ระยะเวลาการฟื้นตัวนานขึ้น

โรคหัวใจ: ผู้ใหญ่ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยไข้หวัดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นโรคหัวใจ จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา ดร. ซาดิยา ข่าน (Sadiya Khan) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นเมดิซิน (Northwestern Medicine)​ กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมักเป็นผู้สูงอายุที่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง การวิจัยหลายโครงการแสดงให้เห็นว่าไข้หวัดใหญ่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจวายและสมองขาดเลือดไปเลี้ยงในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด

เธอเสริมต่อว่า “ผู้ป่วยโรคหัวใจมักไม่สามารถทนต่อความเครียดจากการติดเชื้อได้เท่ากับคนที่ไม่มีปัญหาโรคหัวใจด้วย”

ความดันโลหิตสูง: ในช่วงไข้หวัดใหญ่เมื่อสองฤดูที่ผ่านมา หนึ่งในสี่ของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 49 ปี มีภาวะความดันโลหิตสูง เช่นเดียวกันกับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ประมาณสามในสี่มีภาวะดังกล่าว ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้หลอดเลือดแดงแข็งหรือเสียหาย ส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานหนัก ดร. สแพรตต์กล่าวว่าสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น

สถานะการฉีดวัคซีน: วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ จากการวิเคราะห์ล่าสุดในปีนี้พบว่าการฉีดวัคซีนช่วยลดอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ 34.5 เปอร์เซ็นต์ใน 5 ประเทศจากทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งฤดูไข้หวัดใหญ่ระบาดในช่วงต้นปี

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกากลับลดลง ในปีที่แล้ว ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันอายุ 6เดือนขึ้นไปได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

ความไม่เสมอภาคของการรับฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อาจอธิบายเกี่ยวกับความแตกต่างทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ที่เห็นได้จากอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้เพียงบางส่วน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ป่วยผิวดำทุกวัยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในอัตราที่สูงที่สุดตลอดฤดูไข้หวัดใหญ่ และยังพบว่าคนผิวด คนพื้นเมืองอเมริกัน หรือคนพื้นเมืองของอะแลสกามีอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัดใหญ่สูงกว่าคนผิวขาว 1.5 ถึง 3.5 เท่า

แม้ว่าคนคนหนึ่งจะได้รับฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม เขาก็ยังควรเฝ้าระวังอาการที่อาจทำให้เขาต้องพบแพทย์ เช่น หายใจลำบากและเจ็บหน้าอก ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้เข้ารับการรักษาหากมีอาการไข้หวัดใหญ่อื่นๆ เช่น มีไข้หรือไอ ซึ่งไม่หายไปเองภายในหนึ่งสัปดาห์

ดร.ชาฟเนอร์กล่าวว่า “วัคซีนไม่ใช่ยาครอบจักรวาล มันเพียงแต่ช่วยให้แนวโน้มที่คุณจะต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลน้อยลง”

____________________________________

[1] 8 Factors That Put You at Risk of Severe Flu โดย Emily Schmall เมื่อ 9 มกราคม 2568 ใน https://www.nytimes.com/2024/11/19/well/flu-risk-factors.html