เหตุใดไข้หวัดนกในสหรัฐอเมริกาถึงมีอาการเบามาก?

อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ แปล

นักวิทยาศาสตร์เผชิญหน้ากับปริศนาว่าเหตุใดกรณีไข้หวัดนกในสหรัฐอเมริกาถึงมีอาการเบามาก? [1]

แม้ว่าจะรู้สึกขอบคุณ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็ยังรู้สึกสับสนกับการระบาดของไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่ง (H5N1) ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรงนับตั้งแต่ไข้หวัดนกเริ่มระบาดในวัวฟาร์มของสหรัฐอเมริกาเมื่อกว่า 8 เดือนที่แล้ว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกเอชห้าเอ็นหนึ่ง (H5N1) แล้ว 57 ราย ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับที่ก่อนหน้านี้มีรายงานเพียง 1 รายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทุกกรณีล้วนมีอาการที่เบา

ภาพจาก Times Now

ข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีกรณีที่มีอาการรุนแรงใด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใจถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเช่นกัน นับเป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่เอชห้าเอ็นหนึ่ง ซึ่งได้รับการยืนยันในคนเกือบ 1,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในเอเซียและอียิปต์ มีชื่อเสียงที่สมควรแล้วว่าเป็นเชื้อก่อโรคที่อันตรายมาก โดยมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับไวรัสอีโบลา (Ebola viruses)

ในการระบาดที่กำลังเกิดในสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ ซึ่งพบผู้ที่ติดเชื้อเกือบทั้งหมดในคนงานฟาร์มโคนมและผู้ที่มีหน้าที่กำจัดฝูงสัตว์ปีกที่มีการติดเชื้อเท่านั้น ไม่มีกรณีผู้ติดเชื้อรายใดที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยซ้ำไป ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเยื่อบุตาอักเสบ ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่เยื่อบุตา บางรายมีอาการทางระบบทางเดินหายใจเล็กน้อยด้วย [2]


มันเป็นไปได้ยังไง? นักวิทยาศาสตร์ยังงง ๆ อยู่

ริชาร์ด เวบบี้ (Richard Webby) หัวหน้าศูนย์ประสานงานด้านโรคไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ขององค์การอนามัยโลกที่โรงพยาบาลวิจัยเด็กเซนต์จูด (St. Jude Children’s Research Hospital) กล่าวเมื่อสแตท (STAT) ถามเขาว่า “หากคุณรู้เรื่องนี้โปรดแจ้งให้ผมทราบด้วย!” “มันน่าสับสน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าไวรัสเหล่านี้มีความรุนแรงสูงในสัตว์ที่ติดเชื้อจากการทดลองหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ติดเชื้อตามธรรมชาติ เช่น แมว เป็นต้น”

ไม่ได้หมายความว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายไม่เคยตั้งสมมติฐานใดๆเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางประเด็นซึ่งมีความเห็นพ้องกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

นักวิจัยจำนวนหนึ่งได้ปฏิเสธความเป็นไปได้อื่นๆไปแล้วบางส่วน รวมถึงแนวคิดที่ว่าจากจำนวนผู้ติดเชื้อ 57 รายที่นับได้จนถึงขณะนี้ไม่ใช่กรณีทั้งหมดที่แท้จริง แต่เป็นเพียงกรณีที่เชื้อไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งจำนวนเล็กน้อยฝังตัวอยู่ในโพรงจมูกด้านในของคนกลุ่มนี้และได้รับการตรวจยืนยัน (ปรากฏการณ์นี้เคยถูกถกเถียงกันมาแล้ว) ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่สแตท (STAT) ถามยืนกรานว่ากรณีเหล่านี้เป็นการติดเชื้อจริงและควรถูกนับเช่นนั้น แม้ว่าจะพวกเขาไม่แสดงอาการที่มักพบในกรณีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ เช่น ไอ คัดจมูก มีไข้ และอื่น ๆ

เพื่อพยายามทำความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับประเด็นต่างๆที่ชุมชนวิทยาศาสตร์คิดว่าอาจมีส่วน สแตทจึงได้คัดเลือกนักวิจัย 21 คนซึ่งศึกษาเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่และไวรัสชนิดนี้มาเป็นเวลาหลายปี โดยเราได้ตั้งคำถามชุดหนึ่งให้พวกเขา บางครั้งโดยการสัมภาษณ์ บางครั้งโดยการเขียน

คำตอบซึ่งเราได้จัดหมวดหมู่เป็นชุดของสมมติฐานด้านล่างนั้นให้ความกระจ่างชัดในแง่ที่ว่าช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ท้าทายองค์ความรู้ที่เป็นที่ยอมรับกันเกี่ยวกับไวรัสที่ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ด้านไข้หวัดใหญ่วิตกกังวลตั้งแต่ไวรัสดังกล่าวแพร่ระบาดในมนุษย์ครั้งแรกในปีคศ. 1997

 

สมมติฐาน: วิธีการที่ไวรัสแพร่กระจาย รวมถึงปริมาณในการสัมผัสกับไวรัส มีส่วนในการจำกัดความรุนแรงของโรคประมาณ 60% ของกรณีการติดเชื้อที่พบในสหรัฐอเมริกาในปีนี้เป็นคนงานในฟาร์มโคนม (ส่วนที่เหลือ ยกเว้น 2 คน เป็นคนงานในฟาร์มสัตว์ปีก) เชื่อกันว่าคนงานในฟาร์มโคนมที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสผ่านการสัมผัสกับน้ำนมของวัวที่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นจากหยดนมที่กระเด็นเข้าตาหรือจากคนงานที่มีนมติดมืออยู่ขยี้ตา ปริมาณไวรัสในนมของวัวที่ติดเชื้อนั้นสูงทะลุกราฟ


ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคได้แนะนำให้คนงานฟาร์มสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น แว่นตากันลมกันฝุ่น แต่เป็นที่เข้าใจกันว่าคนงานฟาร์มหลายคนไม่สวม เพราะในโรงวัวอาจร้อนและแว่นตาอาจบดบังการมองเห็น ซึ่งทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยอีกประเภทหนึ่ง

ในทางชีววิทยา การติดเชื้อทางตาเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ไวรัสไข้หวัดนกจับกับเซลล์รับชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีมากในทางเดินหายใจส่วนบนของมนุษย์ แต่พบในเยื่อบุตา ไวรัสไข้หวัดนกชนิดอื่นก็ทำให้เกิดการติดเชื้อในตาได้ โดยเฉพาะไวรัสเอชเจ็ดเอ็นเจ็ด (H7N7) การระบาดในสัตว์ปีกในปีคศ. 2003 ในประเทศเนเธอร์แลนด์ทำให้มีผู้ติดเชื้อ 89 คน และ 78 คนเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบ ซึ่งบางครั้งเรียกว่าตาแดง ผู้ติดเชื้อหนึ่งคนของการระบาดครั้งนั้นซึ่งเป็นสัตวแพทย์มีอาการไข้หวัดใหญ่รุนแรงและเสียชีวิต

รอน ฟูชิเยร์ (Ron Fouchier) นักไวรัสวิทยาไข้หวัดใหญ่ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับไข้หวัดนกที่ศูนย์การแพทย์อีราสมุส (Erasmus)ในเมืองรอตเทอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า “บางครั้งการติดเชื้อที่ตาสามารถแพร่กระจายไปยังทางเดินหายใจส่วนบนได้ แต่ไม่ใช่เสมอไป”

มีหลักฐานล่าสุดว่าสิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ วัยรุ่นชาวแคนาดาคนหนึ่งซึ่งไม่เคยสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อมาก่อน ได้เข้ารับการรักษาทางการแพทย์เนื่องจากเยื่อบุตาอักเสบเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน อาการป่วยได้ลุกลามไปสู่ปอดบวมรุนแรง และวัยรุ่นรายนี้ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาและได้รับการตรวจเชื้อเอชห้าเอ็นหนึ่งที่มีผลเป็นบวก วัยรุ่นรายนี้ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่

เบ็น โคลลิง (Ben Cowling) หัวหน้าภาควิชาระบาดวิทยาของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮ่องกง ระบุว่าเส้นทางการติดเชื้อเป็นหนึ่งในคำอธิบายที่น่าเชื่อถือว่าเหตุใดอาการป่วยจึงเป็นอาการที่เบาในผู้ที่ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกา เขาเขียนว่า “ตามสมมติฐานนี้ ไวรัสที่สูดดมเข้าไปอาจทำให้เกิดโรคที่รุนแรงกว่า และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ติดเชื้อโดยเส้นทางดังกล่าว”

มาเรีย แซมบอน (Maria Zambon) หัวหน้าแผนกไวรัสวิทยาทางเดินหายใจของหน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสห-ราชอาณาจักร กล่าวว่าโรคติดเชื้อหลายชนิดมีความรุนแรงน้อยลงเมื่อไวรัสแพร่กระจายผ่านดวงตา เธอกล่าวว่า “เยื่อบุตาเป็นบริเวณที่มีภูมิคุ้มกันค่อนข้างดีและเป็นบริเวณที่ทำให้การติดเชื้อถูกควบคุมได้”

แซมบอนกล่าวว่า “อาจเป็นไปได้ว่าหากคุณได้รับเชื้อไวรัสในปริมาณมากที่เข้ามาทางลมหายใจและจบที่ทางเดินหายใจมันจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงได้ แต่หากคุณถูกอะไรบางอย่างกระเด็นเข้าตา คุณก็ยังคงสัมผัสกับเชื้ออยู่ดี แต่อย่างไรก็ตาม คุณมีวิธีที่จะควบคุมมันได้ และมันจะไม่กลายเป็นการติดเชื้อทั่วร่างกาย”

เวบบี้ นักไวรัสวิทยาไวรัสไข้หวัดใหญ่ แนะนำว่าอาการไม่รุนแรงอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการร่วมกัน ได้แก่ เส้นทางการติดเชื้อ และความจริงที่ว่าไวรัสในคนงานฟาร์มโคนมมีอยู่ในนม เขาอธิบายว่านมดูเหมือนจะขัดขวางการเติบโตของไวรัสในไข่

แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ในข้อโต้แย้งเหล่านี้ โดยประมาณ 40% ของกรณีการติดเชื้อในปีนี้เกิดจากคนงานที่ติดเชื้อขณะทำการคัดแยกสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ การสัมผัสเชื้อของพวกเขาแตกต่างกัน แต่อาการของพวกเขาก็คล้ายกับคนงานในฟาร์มโคนม

แอนนิส โลเวน (Anice Lowen) ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเอ็มมอรี (Emory) กล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่าเส้นทางของการสัมผัสจะสามารถอธิบายกรณีผู้ป่วยโรคเยื่อบุตาอักเสบที่มีสัดส่วนที่สูงได้อย่างเต็มที่”

แมเรียน คูปแมนส์ (Marion Koopmans) นักไวรัสวิทยาซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกไวรัสวิทยาที่ศูนย์แพทยศาสตร์อีราสมุส(Erasmus Medical Center) กล่าวว่าเธอแทบไม่เชื่อเลยว่าคนที่ทำงานในโรงเรือนผลิตนมหรือโรงเรือนเลี้ยงไก่จะติดเชื้อไวรัสได้แค่ทางตาเท่านั้น เพราะสภาพแวดล้อมเหล่านี้เต็มไปด้วยไวรัส และมีการทำงานบางอย่างที่อาจทำให้อนุภาคของไวรัสลอยอยู่ในอากาศและอาจทำให้ไวรัสเข้าทางลมหายใจได้

วิเวียน ดูแกน (Vivien Dugan) ผู้อำนวยการฝ่ายไข้หวัดใหญ่ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกากล่าวว่าการที่ผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกามีอาการของโรคที่ไม่รุนแรงนั้นอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ปริมาณไวรัสที่กระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อ

เจมส์ พอลสัน (James Paulson) ประธานแผนกเวชศาสตร์โมเลกุลที่สถาบันวิจัยสคริปปส์ (Scripps Research Institute) ในซานดิเอโกมีความเห็นเช่นเดียวกัน เขาบอกว่าขนาดของโด๊สมีความสำคัญเมื่อพูดถึงการติดเชื้อไวรัสที่ปัจจุบันยังไม่สามารถเกาะติดกับเซลล์ในทางเดินหายใจส่วนบนของมนุษย์ได้ แต่สามารถเกาะติดกับตัวรับที่พบในเซลล์ของเนื้อเยื่อรอบดวงตาและในปอดได้ดีกว่า

พอลสันกล่าวว่า “คุณสามารถติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้หากได้รับในปริมาณมาก…และเมื่อการติดเชื้อเริ่มขึ้น ความจำเพาะของตัวรับก็ไม่สำคัญอีกต่อไป”

นอกจากนี้ ดูแกนยังตั้งสมมติฐานว่าการตรวจพบผู้ติดเชื้อในระยะต้นส่งผลให้บางคนต้องกินยาต้านไวรัสในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ ซึ่งเธอเสนอแนะว่าอาจช่วยป้องกันไม่ให้โรคลุกลามได้

แม้ว่าการรักษาในระยะเริ่มต้นอาจช่วยป้องกันอาการป่วยหนักได้ แต่ก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมดได้ ทิจส์ ไก-เกอะ (Thijs Kuiken) นักพยาธิวิทยาจากศูนย์การแพทย์อีราสมุส ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับเอชห้าเอ็นหนึ่งมากว่า 20 ปี กล่าวว่า เป็นที่แน่ชัดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในวัวนมว่าการติดเชื้อในคนมักไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง การศึกษาทางซีรั่มวิทยาหลายการศึกษาซึ่งทำการทดสอบตัวอย่างเลือดจากคนงานในฟาร์มโคนมเพื่อหาแอนติบอดีต่อเอชห้าเอ็นหนึ่งยืนยันว่ามีการติดเชื้อที่ไม่ได้รับการตรวจ คนเหล่านี้ไม่ได้รับยาต้านไวรัส และพวกเขาก็ไม่ได้ป่วยหนัก

โทมัส พีค็อก (Thomas Peacock) นักไวรัสวิทยาโรคไข้หวัดใหญ่จากสถาบันปรีไบรต์ (Pirbright Institute) ซึ่งเป็นองค์กรของอังกฤษที่มุ่งเน้นการควบคุมโรคไวรัสในสัตว์ มองว่าเส้นทางของการติดเชื้อและปริมาณของไวรัสที่ผู้คนสัมผัสเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้โรคไม่รุนแรง


สมมติฐาน: ไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งที่กำลังแพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกาเป็นไวรัสกลุ่ม 2.3.4.4b ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วไม่เป็น
อันตรายมากต่อคน


มาร์ถิน บี (Martin Beer) ผู้อำนวยการสถาบันไวรัสวิทยาการวินิจฉัยที่สถาบันฟรีดิช-โลฟเลอร์ (Friedrich-Loeffler-Institut)ในเมืองรีซส์ (Riems) ประเทศเยอรมนีเชื่อว่าเรื่องนี้อาจเป็นจริง

บีกล่าวว่า “สำหรับไวรัสสายพันธุ์ clade 2.3.4.4b การติดเชื้อในมนุษย์ส่วนใหญ่ และรวมถึงคนที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกาด้วยมักไม่รุนแรง” พร้อมกับเสริมว่าไวรัสสายพันธุ์เก่าของเอชห้าเอ็นหนึ่งนั้นกระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์จำนวนมากและเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงมากด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปในราวปีคศ. 2016 เมื่อมีไวรัสสายพันธุ์ 2.3.4.4b ปรากฏขึ้น โดยมีกลุ่มยีนที่แตกต่างจากไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น

ปีเตอร์ ปาเลซิ (Peter Palese) นักจุลชีววิทยาและนักวิจัยไข้หวัดใหญ่ที่โรงเรียนแพทย์ไอคานของเมาท์ซีนาย (Mount Sinai’s Icahn School of Medicine) ในนิวยอร์ก เห็นด้วยว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญรายอื่นๆเตือนว่าไม่ควรสรุปเช่นนั้น

สก็อตต์ เฮนสลีย์ (Scott Hensley) ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาจากโรงเรียนแพทยศาสตร์เพเรอเมน (Perelman School of Medicine) ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียกล่าวว่า “ไวรัสในกลุ่ม 2.3.4.4b นั้นแตกต่างกันอย่างแน่นอน ทั้งในด้านความสามารถในการติดเชื้อและแพร่กระจายในนก และประเภทของโรคที่ไวรัสเหล่านี้ก่อให้เกิดในมนุษย์ แต่ผมไม่คิดว่าเราควรระบุว่าไวรัสในกลุ่ม 2.3.4.4b นั้นโดยเนื้อแท้แล้วก่อให้เกิดโรคน้อยกว่าไวรัสกลุ่มก่อนหน้านี้ เพราะเรารู้ดีว่าการกลายพันธุ์เพียงหนึ่งหรือสองครั้งสามารถเปลี่ยนแปลงความสามารถในการก่อให้เกิดโรคของไวรัสเหล่านี้ได้อย่างมาก”

แน่นอนว่าสมมติฐานนี้ดูน่าสนใจ แต่ปัญหาคือไม่มีวิธีใดเลยที่จะทดสอบได้ว่าสมมติฐานนี้ถูกต้องหรือไม่

เวบบี้กล่าวว่า “พูดตามตรงแล้ว ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะออกแบบการศึกษาวิจัยเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมคนงานฟาร์มโคนมจึงป่วยไม่รุนแรง แต่แมวในฟาร์มเดียวกันกลับตายด้วยอาการทางระบบประสาทหลังจากดื่มนมได้อย่างไร”

ประเด็นสำคัญของความท้าทายคือการวิจัยต่างๆในสัตว์จำพวกเฟอร์เร็ตซึ่งเป็นแบบจำลองสัตว์ที่เชื่อว่าใกล้เคียงกับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์มากที่สุดนั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในขณะนี้ ไวรัสเหล่านี้ยังคงทำให้เกิดโรคร้ายแรงในสัตว์จำพวกเฟอร์เร็ตที่ติดเชื้อจากการทดลอง ซึ่งในมุมมองของไกเกอะนั้นเป็นการโต้แย้งว่าความรุนแรงของไวรัสในกลุ่มนี้ [2.3.4.4b] ลดลง

ในทำนองเดียวกัน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดมาก เช่น แรคคูน (raccoons) มาร์เทน (martens) แมวน้ำ พอสซัม(possums) หมี หมาโคโยตี้ (coyotes) สามารถติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ การติดเชื้อเหล่านี้มักเป็นอันตรายถึงชีวิต การชันสูตรศพของสัตว์บางชนิดแสดงให้เห็นว่าไวรัสทำให้เนื้อเยื่อของสัตว์เหล่านี้ติดเชื้อไปไกลเกินกว่าปอด รวมถึงสมองด้วย โดยพบในแมวในโรงนาและหมูในรัฐโอเรกอน (Oregon) ที่ติดเชื้อเมื่อเดือนตุลาคม

อดอลโฟ การ์เซีย-สาซเตร (Adolfo Garcia-Sastre) นักจุลชีววิทยาและผู้อำนวยการสถาบันโรคอุบัติใหม่และสุขภาพโลก(Global Health and Emerging Pathogens Institute) ที่เมาท์ซีนาย กล่าวว่า “ว่าไปแล้ว ดูเหมือนว่าไวรัส 2.3.4.4b จะแพร่เชื้อสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ดีกว่า โดยพิจารณาจากจำนวนการติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่ เมื่อไวรัสทำให้เกิดการเชื้อแล้วดูเหมือนว่าจะก่อโรคได้รุนแรงเช่นกัน ยกเว้นในวัวและมนุษย์”

โยชิฮิโระ คาวาโอกะ (Yoshihiro Kawaoka) นักไวรัสวิทยาไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำงานร่วมมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสันและมหาวิทยาลัยโตเกียว (University of Wisconsin-Madison and the University of Tokyo) กล่าวว่าไวรัสที่แพร่ระบาดในวัวอาจมีความรุนแรงน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่น แต่เขาบอกว่าไม่สามารถพิสูจน์เช่นนั้นได้ เนื่องจากการศึกษาในสัตว์ไม่ได้แสดงให้เห็นเช่นนั้น


สมมติฐาน: ผู้คนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงจากเอชห้าเอ็นหนึ่งน้อยลงกว่าแต่ก่อน


ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีเฮแมกกลูตินินเอชห้า (H5 hemagglutinin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ภายนอกของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เกาะติดกับเซลล์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อ ไม่เคยแพร่ระบาดจากคนสู่คน อย่างน้อยก็ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้นั่นคือเหตุผลที่ไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งอาจก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ได้ หากว่าไวรัสนี้ปรับตัวให้สามารถติดเชื้อทางเดินหายใจของมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย

แต่มีโปรตีนอีกชนิดหนึ่งอยู่ภายนอกไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เรียกว่านิวรามินิเดส (neuraminidase) ซึ่งเป็นเอ็น (N) ในชื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกันสองสามข้อที่ว่าการสัมผัสกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลหรือไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่ง (H1N1) เป็นเวลาหลายปีจะช่วยปกป้องมนุษย์จากเอชห้าเอ็นหนึ่งได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากไวรัสทั้งสองชนิดมีนิวรามินิเดสเอ็นหนึ่ง (N1 neuraminidase)

ไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่งแพร่ระบาดในมนุษย์ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ในปีคศ. 2009 ไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่งจากหมูที่แตกต่างจากที่เคยแพร่ระบาดก่อนหน้านี้ได้จุดชนวนให้เกิดการระบาดของไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่ง

นิวรามินิเดสของไวรัสปีคศ. 2009 และไวรัสที่สืบทอดมาซึ่งแพร่กระจายในคนในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีความคล้ายคลึงกับนิวรามินิเดสในไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าอาการเบาบางของการติดเชื้อในมนุษย์ในสหรัฐอเมริกาอาจเกิดจากการสัมผัสกับไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่งในยุคหลังปีคศ. 2009

มาลิก เพอริส (Malik Peiris) หัวหน้าภาควิชาไวรัสวิทยาที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮ่องกง ได้สำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้มา โดยเขาและเพื่อนร่วมงานได้รายงานในวารสาร Emerging Infectious Diseases เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่าพวกเขาพบแอนติบอดีในระดับสูงที่สามารถจดจำเอนไซม์นิวรามินิเดสเอ็นหนึ่ง (N1 neuraminidase) ของไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่ง จากการใช้ตัวอย่างเลือดที่เก็บสะสมไว้ก่อนการระบาดใหญ่ในปีคศ. 2009 พวกเขาพบว่าแอนติบอดีในระดับต่ำที่สามารถจดจำเอนไซม์นิวรามินิเดสของไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่งสายพันธุ์ก่อนปีคศ. 2009

เพอริส กล่าวกับสแตทเมื่อต้นปีนี้ว่า “เราจำเป็นต้องตรวจสอบว่าการป้องกันแบบไขว้ของเอ็นหนึ่ง (N1) นี้จะปกป้องการติดเชื้อเอชห้าเอ็นหนึ่งได้มากเพียงใด อย่างน้อยก็บรรเทาความรุนแรงของโรค ซึ่งจำเป็นต้องทำในสัตว์ทดลอง”

ฟลอเรียน แครมเมอร์ (Florian Krammer) นักไวรัสวิทยาไข้หวัดใหญ่ที่เมาท์ซีนาย เป็นหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีที่ว่ามีการป้องกันแบบไขว้จากการสัมผัสกับไวรัสที่มีเอนไซม์นิวรามินิเดสเอ็นหนึ่ง (N1 neuraminidase) ได้ กล่าวว่า “ในความคิดของผม ภูมิคุ้มกันที่อาศัยเอนไซม์นิวรามินิเดสมีบทบาทสำคัญในการป้องกัน” โดยชี้ไปที่เอกสารพิมพ์ล่วงหน้าฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เขียนอาวุโสของบทความนี้คือซีมา ลักดาวาลา (Seema Lakdawala) รองศาสตราจารย์จากภาควิชาจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาที่มหาวิทยาลัยเอ็มมอรี เธอและเพื่อนร่วมงานรายงานว่าสัตว์จำพวกเฟอร์เร็ตที่เคยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอชหนึ่งเอ็นหนึ่งมาก่อนสามารถรอดชีวิตได้ทั้งหมดเมื่อต่อมาติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เอชห้าเอ็นหนึ่งที่แพร่ระบาดในวัวนมในสหรัฐอเมริกา ส่วนสัตว์จำพวกเฟอร์เร็ตที่ไม่เคยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอชหนึ่งเอ็นหนึ่งมาก่อนก็ตายทั้งหมด (การทดลองที่ใช้เฟอร์เร็ตส่วนใหญ่ทำกับสัตว์ที่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มาก่อน ซึ่งหมายถึงเฟอร์เร็ตที่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใดมาก่อน ผลการทดลองของลักดาวาลาแสดงให้เห็นว่าอาจช่วยอธิบายได้ว่าทำไมการทดลองในเฟอร์เร็ตที่เกี่ยวข้องกับไวรัส 2.3.4.4b จึงไม่สามารถจำลองโรคที่อาการเบาที่พบในมนุษย์ได้ เนื่องจากเฟอร์เร็ตมีความ
เปราะบาง [ต่อไวรัสไข้หวัดนก] มากกว่ามนุษย์ ซึ่งเมื่อเผชิญกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ซ้ำๆกันหลายครั้ง มนุษย์จะมีแอนติบอดีสะสม ซึ่งอาจให้การป้องกันได้อย่างน้อยบางส่วน)

ลักดาวาลากล่าวว่าข้อมูลของพวกเธอเกี่ยวกับเฟอร์เร็ต รวมถึงข้อมูลอื่นๆที่เธอรู้ซึ่งยังไม่ได้เผยแพร่ แสดงให้เห็นว่าภูมิคุ้มกันก่อนหน้านี้ที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล “อาจสร้างเกราะป้องกันการติดเชื้อรุนแรงได้ดีขึ้น” จากการติดเชื้อไวรัส 2.3.4.4b ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านไข้หวัดใหญ่หลายคนไม่เชื่อว่าการสัมผัสกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคนที่มีเอ็นหนึ่ง (N1) เป็นส่วนประกอบจะเป็นคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น คาวาโอกะเขียนว่า “ทฤษฎีนี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเราจึงไม่พบผู้ป่วยรุนแรงในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้สูงกว่า 50% ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ผู้ป่วยในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก็ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเช่นกัน” ผู้ป่วยที่รายงานในเอเซียยังคงมีอัตราการป่วยรุนแรงสูงกว่าในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าหลายรายจะเกิดจากไวรัสเวอร์ชันอื่นที่แพร่ระบาดในอเมริกาเหนือก็ตาม

เวบบี้เห็นด้วย เขากล่าวว่า “มีหลักฐานที่ดีว่าเอ็นหนึ่งของไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่งของปีคศ. 2009 มีปฏิกิริยาแบบไขว้กับเอ็นหนึ่งของไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งมากกว่าเอ็นหนึ่งของไวรัสเอชหนึ่งเอ็นหนึ่งก่อนปี 2009 แต่ผมไม่เชื่อว่าประชากรมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไป… และท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนจำนวนมากยังคงป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แม้ว่าจะเคยติดเชื้อไวรัสเหล่านั้นมาก่อนก็ตาม เห็นได้ชัดว่าภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ก่อนมีบทบาท แต่ผมไม่เห็นว่าภูมิคุ้มกันจะมีส่วนสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่าเมื่อก่อน”

อดีตผู้อำนวยการฝ่ายไข้หวัดใหญ่ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) มานานหลายปี ตั้งคำถามถึงทฤษฎีดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่าในปีคศ. 2014-2015 อียิปต์พบผู้ติดเชื้อเอชห้าเอ็นหนึ่งประมาณ 165 ราย โดย 30% เสียชีวิต ค็อกซ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนองค์การอนามัยโลกในอียิปต์เพื่อสอบสวนการระบาดครั้งนั้น กล่าวว่า “ไม่ควรมีผู้ติดเชื้อรุนแรงจำนวนมากขนาดนี้ หากการระบาดใหญ่ของเอชหนึ่งเอ็นหนึ่ง [ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น] สามารถให้การป้องกันแบบไขว้ได้”

แครมเมอร์เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือการเปลี่ยนแปลงในนิวรามินิเดสของไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งที่แพร่ระบาดในอเมริกาเหนือและบางส่วนของโลก ไวรัสกลุ่ม 2.3.4.4b ซึ่งเกิดขึ้นในปีคศ. 2020 มีนิวรามินิเดสที่มีรูปร่างแตกต่างไปจากโปรตีนที่ติดอยู่กับไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งรุ่นก่อนหน้าส่วนใหญ่ เขาเขียนว่า “สมมติฐานของผมคือไวรัสนี้เปราะบางมากต่อการยับยั้งโดยแอนติบอดีที่เกี่ยวกับนิวรามินิเดส”

 

สมมติฐาน: เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีผู้ติดเชื้อเอชห้าเอ็นหนึ่งที่มีอาการเบาเป็นจำนวนมากในมนุษย์

ซึ่งทำให้มีการประเมินที่เกินจริงเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตจากเชื้อเอชห้าที่กลัวกัน

ในขณะนี้เราได้เห็นภาพที่แท้จริงของขอบเขตของการติดเชื้อแล้ว

 

จากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งที่ตรวจพบทั้งหมด 970 ราย นับตั้งแต่เกิดการระบาดในฮ่องกงเมื่อปีคศ. 1997 มีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 470 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 48%

มีการถกเถียงกันมานานแล้วว่าการคำนวณทางคณิตศาสตร์เช่นนี้ ซึ่งคือจำนวนผู้เสียชีวิตที่ทราบกันเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ติดเชื้อที่ทราบกันนั้น ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากเอชห้าเอ็นหนึ่งเพิ่มขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากการติดเชื้อรุนแรงนั้นเห็นได้ง่ายกว่า บางทีจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาในปีนี้อาจถูกดึงออกมาจากภูเขาน้ำแข็งบางส่วนที่มองไม่เห็นมาก่อนอย่างชัดเจนก็ได้

ปาเลซิเป็นคนหนึ่งที่โต้แย้งว่าอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งนั้นสูงเกินจริง โดยในมุมมองที่ตีพิมพ์ในวารสาร PNAS เมื่อปีคศ. 2012 เขากับไทอา วัง (Taia Wang) ผู้เขียนร่วมได้โต้แย้งว่าอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งที่คำนวณจากจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่รายงานนั้นน่าจะสูงเกินไป “หลายเท่า” หากเป็นความจริง นั่นหมายความว่าอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสจะไม่ใช่ตัวเลขสองหลักหรือแม้แต่ตัวเลขเดียว แต่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของจุดเปอร์เซ็นต์เท่านั้นทุกคนในวงการไข้หวัดใหญ่ต่างเข้าใจดีว่าอัตราการเสียชีวิตจากเอชห้าเอ็นหนึ่งนั้นเกินจริง แต่จุดยืนของปาเลซิเกี่ยวกับระดับความคลาดเคลื่อนของตัวเลขนั้นไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยมากนัก ฟูชิเยร์กล่าวว่า “ผมไม่เชื่อว่าอัตราการก่อโรคจะต่ำเช่นนี้ แต่เห็นด้วยกับปีเตอร์ [ปาเลซิ] อย่างแน่นอนว่า 50% … เป็นการประมาณค่าที่สูงเกินไปอย่างมาก”

เหวินซิง จาง (Wenqing Zhang) หัวหน้าโครงการไข้หวัดใหญ่ระดับโลกขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการศึกษาด้านซีโรโลยีได้บ่งชี้ว่ามีกรณีการติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือที่มีอาการเบาที่ไม่ได้ถูกรายงานอยู่หลายกรณีซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นคนงานในฟาร์มที่ได้รับผลกระทบ ในทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะในเอเซีย การเฝ้าระวังผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะตรวจพบการติดเชื้อทึ่รุนแรง ซึ่งได้แก่ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล มากกว่าผู้ที่มีอาการเบากว่า จางกล่าวว่าข้อมูลที่มีอยู่ไม่ได้บ่งชี้ถึงกรณีที่ตกหล่นไปในประชากรทั่วไป

จางกล่าวว่า “อัตราการเสียชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหากพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนี้ แต่ก็อาจไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ” จางกล่าว

แม้ว่าการติดเชื้อเล็กน้อยเหล่านี้จะแสดงให้เราเห็นว่าไวรัสนี้ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างที่คิดกันไว้ แต่ยังมีหนทางอีกยาวไกลก่อนที่ความกังวลของผู้เชี่ยวชาญด้านไข้หวัดใหญ่จะคลี่คลายลง ฟูชิเยร์กล่าวว่า “โปรดอย่าลืมว่าไข้หวัดใหญ่ที่ร้ายแรงที่สุดในมนุษย์ที่เรารู้จัก (ไข้หวัดใหญ่สเปน) มีอัตราการเสียชีวิตเพียง 2% เท่านั้น” คาดว่ามีผู้เสียชีวิตจากการระบาดใหญ่ในปีคศ. 1918 ประมาณ 50 ล้านถึง 100 ล้านคนทั่วโลก

เจสซี บลูม (Jesse Bloom) นักไวรัสวิทยาวิวัฒนาการจากศูนย์มะเร็งเฟรด ฮัทชินสัน (Fred Hutchinson Cancer Center) ในเมืองซีแอตเทิล ตั้งข้อสังเกตว่าไวรัสที่โลกเห็นอยู่ในขณะนี้จะไม่ใช่ไวรัสที่เราจะต้องจัดการด้วย เขากล่าวว่าหากไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งก่อให้เกิดโรคระบาด ไวรัสจะต้องกลายพันธุ์จึงจะแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้อย่างง่ายดาย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเปลี่ยนความรุนแรงของโรคที่ไวรัสก่อให้เกิดได้

บลูมกล่าวว่า “ดังนั้น ณ จุดนี้ จึงไม่สามารถคาดเดาได้อย่างมั่นใจว่าเอชห้าเอ็นหนึ่งจะปรับตัวให้เข้ากับการแพร่ระบาดในมนุษย์ได้หรือไม่ และโรคจะรุนแรงแค่ไหนหากปรับตัวให้เข้ากับการแพร่ระบาดในมนุษย์ได้…ด้วยเหตุนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดของเอชห้าเอ็นหนึ่งที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องตระหนักว่ายังไม่แน่ชัดว่าการระบาดใหญ่ดังกล่าวจะเกิดขึ้นหรือไม่ และจะรุนแรงแค่ไหนหากเกิดขึ้นจริง”

____________________________________

[1] Scientists confront a mystery: Why have U.S. bird flu cases been so mild? โดย Helen Branswell 1 เมื่อ 2 ธันวาคม 2567 ใน https://www.statnews.com/2024/12/02/bird-flu-h5n1-mild-cases-mystery/?  

[2] ในประเทศแคนาดามีเด็กวัยรุ่น 1 คนที่ติดเชื้อเอชห้าเอ็นหนึ่งที่มีอาการรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา วัยรุ่นคนดังกล่าวไม่ได้อยู่หรือทำงานในฟาร์มวัวหรือฟาร์มสัตว์ปีก หรือได้สัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อแต่อย่างใด < https://www.cidrap.umn.edu/avian-influenzabird-flu/canadian-probe-teens-critical-h5n1-infection-finds-no-clear-source> และอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัยรุ่นคนนี้ได้ในหน้าที่ 2 สำหรับสหรัฐอเมริกานั้นมีรายงานผู้ใหญ่ 1 คนที่ติดเชื้อเอชห้าเอ็นหนึ่งที่มีอาการรุนแรงเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ผู้ติดเชื้อคนนี้สัมผัสกับเชื้อจากสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายที่เลี้ยงอยู่ในสนามหลังบ้าน และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบุว่าเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 มีผู้ติดไวรัสเอชห้าเอ็นหนึ่งในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด 61 ราย < https://www.cdc.gov/media/releases/2024/m1218-h5n1-flu.html>