อนาคตของสาธารณสุขหรือการไม่มีสาธารณสุขภายใต้ทรัมป์
อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ แปล
อนาคตของสาธารณสุขหรือการไม่มีสาธารณสุขภายใต้ทรัมป์[1]
โดย เกร๊ก กอนซาเวส (Gregg Gonsalves)
อิทธิพลที่สำคัญใดๆของโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ (RFK Jr.) ในวงจรของทรัมป์นั้นอาจหมายความถึงความบุ่มบ่ามที่ไม่เคยพบมาก่อนในประวัติศาสตร์สาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่ “สาธารณสุข” ทำเพื่อชาวอเมริกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่คนคิดว่าเป็นเรื่องปกติและมองข้ามความสำคัญของมันไป ก่อนเกิดการระบาดระดับโลกของโควิด คนส่วนใหญ่คงไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย แต่ความจริงที่ว่าในแทบทุกแห่งในสหรัฐอเมริกาเราสามารถพึ่งพาได้ว่าน้ำที่เราดื่มจะปลอดภัย อาหารที่เราซื้อไม่มีการปนเปื้อนของอีโคไล (e-coli)[2] หรือลิสเทอเรีย (listeria)[3] และเราไม่ต้องรับมือกับโรคร้ายต่างๆของคนวันเด็กที่คร่าชีวิตผู้คนในชุมชนของเราเพียงเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เรื่องนี้ถือว่าเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดแจ้งถึงการทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของวีรบุรุษที่ไม่มีใครรู้จักและมักไม่เป็นที่รู้จักมากมาย ตาข่ายนิรภัยที่มองไม่เห็นนี้ถูกสร้างขึ้นมาหลายปีแล้ว โดยที่มีงบประมาณไม่เพียงพอ และเจ้าหน้าที่น้อยกว่าที่จำเป็นอยู่เสมอ แต่นั่นคือสิ่งที่เรามีอยู่เท่านั้น
และในขณะนี้ลูกตุ้มทำลายตึกกำลังแกว่งมา หากวาระแรกของทรัมป์เป็นหายนะสำหรับสาธารณสุข — และการตอบสนองของเขาต่อโควิด ตั้งแต่การห้ามหน่วยงานต่างๆไม่ให้ตรวจการติดโควิดให้แก่ผู้คน และไม่ให้แนะนำให้ผู้คนสวมหน้ากากอนามัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ไปจนถึงการยอมรับแนวคิดที่ว่าเราควรปล่อยให้ผู้คนติดเชื้อไวรัสได้ ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ในกรณีนี้ —อย่างน้อยก็มีคนที่เชื่อถือในสถาบันที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น สก็อตต์ ก็อตลิบ (Scott Gottlieb) ที่องค์การอาหารและยา (FDA) อเล็กซ์ อาซาร์ (Alex Azar) ที่กระทรวงสาธารณสุข (HHS) แม้แต่โรเบิร์ต เรดฟิลด์ (Robert Redfield) คนที่น่ารังเกียจที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) และฟรานซิส คอลลินส์ (Francis Collins) ที่ยังคงตำแหน่งได้อยู่ที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) บุคคลเหล่านี้แต่ละคนอย่างน้อยก็มีประสบการณ์ในหน่วยงานของรัฐบาลกลางหรือประสบการณ์ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องด้านใดด้านหนึ่ง
อวตาร[หรือตัวแทนของคนในโลกเสมือนจริงหรืออินเตอร์เน็ต]ของนโยบายสาธารณสุขของทรัมป์ 2.0 จะเป็นอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์จะได้รับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี หรือมีเพียงตำแหน่งบริหารของหน่วยงานหนึ่งมีที่นั่งทำงานในอาคารตะวันตก (west wing) ของทำเนียบขาวหรืออาคารเก่าของสำนักงานบริหาร หรือแม้แต่ยังคงเป็นเพียงที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกหรือไม่ก็ตาม เขาเป็นตัวแทนในอนาคตของคนที่ไม่รู้อะไรเลยและสับสนกับทฤษฎีสมคบคิดซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะทำให้พวกเราป่วย อิทธิพลที่สำคัญใด ๆ ของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ในวงโคจรของทรัมป์แสดงถึงความบุ่มบ่ามที่เราไม่เคยเห็นในด้านสาธารณสุขในรัฐบาลกลางใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้
เมื่อถึงตอนนี้แล้ว เราได้ยินมุมมองของเคนเนดีเกี่ยวกับทุกสิ่งตั้งแต่ฟลูออไรด์ในน้ำดื่มไปจนถึงวัคซีนสำหรับเด็ก จนถึงการขู่ที่จะสร้างสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และองค์การอาหารและยา (FDA) ขึ้นมาใหม่ในภาพลักษณ์ของความหลอกลวงของเขาเอง [ผม]ขอระบุให้ชัดเจนว่า มุมมองของเคนเนดีไม่ใช่ “ทางเลือก” ต่อวิธีการแบบเดิม หรือเป็นมุมมองที่ต้องการเขย่าระบบ — สิ่งที่เขาพูดเหล่านั้นเป็นความเท็จที่ตรวจสอบได้ เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้สาระ
มาดูตัวอย่างการอ้างของเขาเกี่ยวกับฟลูออไรด์กัน โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์เขียนในเอ็กซ์ (X) เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนว่า “ฟลูออไรด์เป็นของเสียของอุตสาหกรรมที่มีความสัมพันธ์กับโรคข้ออักเสบ กระดูกหัก มะเร็งกระดูก การสูญเสียไอคิว ความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท และโรคต่อมไทรอยด์” อืม — ไม่จริง การได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณสูงเป็นเวลานาน — เช่นเดียวกับสารอื่นๆอีกหลายชนิด (แม้แต่น้ำและออกซิเจน!) — อาจทำให้เกิดปัญหาได้ แต่ไม่ใช่ในปริมาณเพียงเล็กน้อยที่เราใช้ในน้ำดื่ม อย่าลืมว่าฟลูออไรด์เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายขวาจัดมาตั้งแต่ทศวรรษ
1950 เมื่อฟลูออไรด์ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนของคอมมิวนิสต์ที่ต้องการยึดครองอเมริกา
และเนื่องจากทฤษฎีสมคบคิดไม่มีพรมแดน เราจึงสามารถดูการทดลองตามธรรมชาติที่เมืองแคลการี (Calgary) ประเทศแคนาดาเพื่อเป็นหลักฐานเพิ่มเติมได้ ในปีคศ. 2011 สภาเมืองของแคลการีได้สั่งห้ามใช้ฟลูออไรด์ และในขณะนี้กำลังเตรียมที่จะนำ[ฟลูออไรด์]กลับมาใช้อีกครั้งในปีหน้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะหลังจากหยุดใช้ฟลูออไรด์แล้ว ฟันผุในเด็กมีจำนวนมากมายและมากขึ้นกว่าเดิม และมักจะต้องได้รับการรักษาที่ต้องให้ดมยาสลบและ/หรือการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ให้ทางเส้นเลือดเพื่อต่อต้านการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับฟันผุ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาลการีคนหนึ่งกล่าวว่าการตัดสินใจห้ามใช้ฟลูออไรด์มีผลชัดเจน นั่นคือ มันเป็นแหล่งที่มาของ “โรคที่หลีกเลี่ยงได้และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาณ ความเดือดร้อน และค่าใช้จ่าย…โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กเล็กและครอบครัวของพวกเขา”
ในเรื่องของการฉีดวัคซีน มุมมองของเคนเนดีมีมายาวนานและเป็นที่ทราบกันดี เขาเสนอว่า “ไม่มีวัคซีนใดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” และเขายังคงยึดมั่นในความคิดที่ว่าวัคซีนทำให้เกิดออทิซึม (autism) ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกหักล้างมานานแล้วเมื่อไม่นานนี้ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เขาได้สร้างกระแสต่อต้านวัคซีนที่ใหญ่โตมีพลังมากมูลค่าหลายล้านดอลลาร์เพื่อชักชวนคนไม่ให้ฉีดวัคซีนป้องกันซาร์โควี-2
ในขณะนี้ไม่มีใครสำคัญต่อขบวนการต่อต้านวัคซีนมากไปกว่าโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ และอิทธิพลของเขานั้นร้ายแรงมาก โดยการโน้มน้าวให้ผู้คนละทิ้งการฉีดวัคซีนเด็กตามปกติ เขาทำให้ชีวิตของเด็กๆหลายพันคนตกอยู่ในอันตรายทำให้เกิดความกลัวในครอบครัวที่มีเด็กออทิสติก และอย่างน้อยก็เคยมีหนึ่งครั้งที่เขามีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อการระบาดของโรคหัดที่ร้ายแรงครั้งหนึ่ง ในปีคศ. 2019 คน 83 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก เสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้ในซามัว (Samoa) แม้ว่าเคนเนดีจะปฏิเสธว่าคำพูดและการกระทำของเขาเป็นสาเหตุของการระบาด แต่เขาก็สนับสนุนความพยายามต่อต้านการฉีดวัคซีนบนเกาะ เขาเขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศเกี่ยวกับอันตรายของวัคซีน และไปเยือนซามัวเพื่อพบกับผู้ต่อต้านวัคซีน และต่อมาแสดงความชื่นชมการทำงานของผู้ที่ต่อต้านวัคซีนในซามัวดังที่ดิเรก โลว์ (Derek Lowe) นักเขียนคอลัมน์จากวารสารไซเอ็นซ์ (Science) วารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวไว้ว่า “มุมมองของเคนเนดีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการแพทย์ไม่เพียงแต่ผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายอีกด้วย เขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อหาเงินเป็นจำนวนมาก และเขายังโกหกกับผู้สัมภาษณ์และนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกครั้งที่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สะดวก”
ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายได้เสนอว่าทรัมป์และเคนเนดีอาจไม่มีอำนาจที่จะทำสิ่งต่างๆมากมายที่เคนเนดีเสนอ และงานด้านสาธารณสุขในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นเรื่องภายใต้การควบคุมของรัฐและท้องถิ่น และอยู่นอกเหนือจากอำนาจของรัฐบาลกลาง แต่ทรัมป์และเคนเนดีสามารถสร้างความเสียหายได้มากมายโดยไม่ต้องเปลี่ยนกฎหมายแม้แต่ฉบับเดียว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งคนให้รับตำแหน่งต่างๆ การดำเนินการของฝ่ายบริหาร การออกกฎเกณฑ์และอื่นๆที่คล้ายๆกัน ตารางเอฟ (Schedult F) เป็นคำสั่งฝ่ายบริหารที่จะสามารถอนุญาตให้ทรัมป์เปลี่ยนสถานะภาพของข้าราชการให้เป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองได้เพียงแต่อาศัยคำสั่งเท่านั้น และคำสั่งนี้ไล่ข้าราชการออกได้ และแทนที่ด้วยสมุนของนักการเมืองที่ไร้ความสามารถ คำสั่งนี้จะทำงานอย่างไร? หากประธานาธิบดีคนใหม่ต้องการไล่หัวหน้าสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แอนโธนี ฟาวซี (Anthony Fauci) เคยดำรงตำแหน่งอยู่ สถานะของตำแหน่งดังกล่าวในฐานะงานราชการจะทำให้การทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยาก แต่ด้วยเวทมนตร์ของระบบราชการในตารางเอฟ ตำแหน่งผู้อำนวยการอาจถูกจัดประเภทใหม่เป็นการแต่งตั้งทางการเมือง ผู้อำนวยการถูกไล่ออกได้ และบทบาทดังกล่าวจะถูกแทนที่ด้วยผู้ภักดีที่ไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ลองนึกถึงผลกระทบของการจัดประเภทใหม่ การปลดออก และการจ้างพนักงานใหม่ทั้งระดับบนและระดับล่างในบริการสาธารณสุขดู มันเป็นสูตรสำหรับความโกลาหลและการทำลายล้าง ที่มิตรของทรัมป์และเคนเนดีอาจได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานต่างๆหน่วยงานแล้วหน่วยงานเล่า ซึ่งจะทำลายประสบการณ์และความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่สะสมมาเป็นเวลาหลายสิบปีไปในพริบตาเดียว
นอกเหนือจากอันตรายเหล่านี้แล้ว การมีตำแหน่งเช่นนี้ที่ผู้ดำรงตำแหน่งสามารถพูดหรือทำอะไรก็ได้อยู่ในทำเนียบขาวทรัมป์และเคนเนดีอาจขัดขวางการใช้ฟลูออไรด์และการฉีดวัคซีน และผลักดันให้ผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกันนำแนวคิดแย่ ๆ ของพวกเขาไปใช้ในทางที่แย่ที่สุด รอน เดอซานติส (Ron DeSantis) ยินดีที่จะทำตาม และได้เริ่มดำเนินการรื้อถอนสาธารณสุขในรัฐของเขาไปแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการใดจากรัฐบาลกลางเลย นอกจากความเต็มใจที่จะเผยแพร่ข้อมูลเท็จและคำโกหก
โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์เป็นเด็กในอุดมคติของรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ เขาเป็นเศรษฐีที่ไม่เคยต้องกังวลเรื่องใดๆในชีวิตเลย เขากำลังทำให้ชีวิตของคนอเมริกันทั่วไปตกอยู่ในอันตราย เพราะเขาคิดว่าเขารู้ดีกว่านักวิทยาศาสตร์ ที่จริงแล้วคนที่คิดว่าการจัดฉากการชนแล้วหนีด้วยลูกหมีที่ตายแล้วและจักรยานในเซ็นทรัลพาร์คเป็นความคิดที่ดี[4] ได้แสดงให้เห็นถึงการ ขาดวิจารณญาณในทุกๆด้านมาเป็นเวลานานแล้วแต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการปกครองโดยคนที่ไร้สมรรถภาพ (kakistocracy)[5] ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นและจะถูกควบคุมโดยกลุ่มคนร่ำรวยและพวกหัวรุนแรง ระบบสาธารณสุขของเราในอเมริกานั้นเปราะบางและไม่ควรเป็นเพียงของเล่น เมื่อเขาเล่นเสร็จแล้ว แต่กำลังและทรัพยากรของคนที่มีอำนาจและร่ำรวยทั้งหมดก็อาจไม่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขของเราให้กลับมาเป็นปกติได้ ความเสียหายอาจคงอยู่ยาวนานและรุนแรง
แต่เราไม่ได้ไร้พลังเสียทีเดียว สาธารณสุขส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น และเราสามารถปกป้องทรัพยากรแห่งชาติอันล้ำค่านี้ได้โดยการพูดสนับสนุน และออกมาพูดในการประชุมสภาเทศบาลหรือสภาเมืองของเรา โทรศัพท์และเขียนจดหมายถึงตัวแทนของรัฐ นายกเทศมนตรี และผู้ว่าการรัฐของเรา เรื่องนี้จะเป็นงานที่จำเป็น ดังที่ทิโมธี สไนเดอร์ (Timothy Snyder) เพื่อนร่วมงานของผมที่มหาวิทยาลัยเยล (Yale) ได้กล่าวไว้ว่า “ปกป้องสถาบันต่าง ๆ… สถาบันต่าง ๆ ปกป้องตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจงเลือกสถาบันที่คุณห่วงใยและเข้าข้างสถาบันนั้น” อาจเป็นหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ของคุณหรือคลินิกวางแผนครอบครัว คลินิกสุขภาพจิต หรือโครงการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยา หรือบริการสำหรับประชากรคนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) หรือคนอพยพในละแวกบ้านของคุณ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้การสาธารณสุขมีอยู่ได้ทุกวันในชุมชนของเรา ลิดรอนอำนาจของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ และโดนัลด์ ทรัมป์ออกไป ยึดอำนาจจากพวกเขาด้วยความมุ่งมั่นและการยืนหยัด ทำลายการรณรงค์ของพวกเขาที่จะทำลายสาธารณสุขในอเมริกา การกระทำเล็กๆน้อย ๆ เหล่านี้จะรวมกันและสร้างความแตกต่าง หากคนเหล่านี้เป็นโรคนี้ เราต้องเป็นยารักษา
_____________________________________
[1] The Future of Public Health—or Lack Thereof—Under Trump โดย Gregg Gonsalves เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2567 ใน https://www.thenation.com/ article/archive/future-of-public-health-under-trump/
[2] อีโคไล (e-coli) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยในทางเดินอาหารส่วนลำไส้ของคนและสัตว์ อีโคไลมีหลายสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่อยู่ในคนมักไม่ก่อให้เกิด โรค ส่วนสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคในคนนั้น มีหลายสายพันธุ์ตั้งแต่ที่ทำให้เกิดโรคที่ไม่รุนแรง เช่น อาหารเป็นพิษ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ บางสาย พันธุ์ทำให้เกิดโรครุนแรงได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารที่รุนแรงถึงตายได้ จาก “อีโคไล ภัยร้ายที่มากับอาหาร” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล < https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=885>
[3] ลิสเทอเรีย (listeria) เป็นแบคทีเรียที่พบในดิน ในอุจจาระของสัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า และของคน เชื้อเข้าสู่คนได้เมื่อคนกินของที่ปนเปื้อนเชื้อ ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ในคนที่มีสุขภาพดีผลกระทบต่อสุขภาพอาจไม่รุนแรง แต่ในเด็กรวมถึงทารกในครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอรวมถึงผู้ที่มีเอชไอ วี อาจทำให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงจนถึงตายได้ จาก POBPAD < https://www.pobpad.com/listeriosis>
[4] โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ให้สัมภาษณ์ว่าประมาณ 10 ปีมาแล้ว เขาขับรถเพื่อไปล่าสัตว์โดยใช้เหยี่ยว ในระหว่างทางรถคันหน้าที่เขาขับตามชนลูก หมีตาย โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ จึงหยุดรถและเอาลูกหมีที่ถูกชนตายใส่ในรถเขาเพราะเขาตั้งใจว่าจะตัดเอาเนื้อลูกหมีเก็บแช่แข็งไว้กินต่อไป ซึ่ง เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายของรัฐนั้น และวันนั้นเขายุ่งกับการล่าสัตว์ทั้งวันจนถึงเย็นซึ่งเขามีนัดกินอาหารเย็นกับเพื่อนด้วย เขาจึงไม่มีเวลาและเปลี่ยนใจเอา ซากศพลูกหมีพร้อมกับจักรยานเก่าหนึ่งคันที่เจ้าของจักรยานขอให้เขาเอาไปทิ้งและยังอยู่ในรถของเขาทิ้งบนถนนสำหรับขี่จักรยานในเซ็นทรัลพาร์คโดย จัดฉากให้ดูเหมือนว่าลูกหมีถูกรถจักรยานชนตาย ทำให้กรณีนี้เป็นกรณีลึกลับอยู่หลายปีจนกระทั่งเขาเปิดเผยความจริงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
[5] kakistocracy หมายถึงการปกครองโดยคนที่แย่ที่สุด หรือมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมที่สุด หรือคนที่ไม่มีคุณธรรมที่สุด เป็นคำที่มาจากภาษากรีกสองคำ “แย่ที่สุด” (kakistos) และ “ปกครอง” (kratos)