เตรียมพร้อมสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดนกรายใหม่

อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ แปล

เตรียมพร้อมสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดนกรายใหม่[1]

แผนที่เวลาแสดงการติดไวรัสไข้หวัดนกสายพันธ์ุเอชห้าเอ็นหนึ่ง (H5N1) ที่ติดในนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงคนในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเริ่มพบในนกป่าต่าง ๆ ในยุโรปเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีคศ. 2020 จนถึงการติดเชื้อในคนทำงานในฟาร์มโคนมในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายน คศ. 2024 ภาพจาก Mailonline

เนื่องจากไวรัสไข้หวัดนกเอชห้าเอ็นหนึ่ง (H5N1) กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ไวรัสจึงมีโอกาสกลายพันธุ์และก่อปัญหากับผู้คนได้มากขึ้น จากการคำนวณพบว่าไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ต้องกลายพันธุ์อีกอย่างน้อย 2 ครั้งจึงอาจจะเกิด การแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางในมนุษย์ได้ แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าในช่วงฤดูร้อนนี้ อาจพบผู้ป่วยท่ีมีความเสี่ยงสูงมีอาการของไข้หวัดชนิดใหม่ในระบบบริการด้านสุขภาพได้

ดร. วิเวียน ดูแกน (Dr. Vivien Dugan) ผู้อำนวยการฝ่ายไข้หวัดใหญ่แห่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (US CDC) กล่าวว่า “มีอาการต่าง ๆ มากมายที่ต้องเฝ้าระวัง อาการเหล่านี้บางทีอาจไม่ชัดเจนหรือเป็นอาการที่ไม่คาดกันมาก่อน”

ดร.ดูแกน เป็นผู้นำทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคซึ่งทำงานร่วมกับพันธมิตรจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลของรัฐต่าง ๆ และแผนกสาธารณสุขของท้องถิ่น เพื่อติดตามและตอบสนองต่อการระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ที่กำลังแพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกาในขณะนี้

ตั้งแต่ปีคศ. 2022 เป็นต้นมา มีการตรวจพบไวรัสไข้หวัดนกชนิดเอ (A) ในนกป่ามากกว่า 9,300 ตัวใน 50 รัฐและเขตต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการตรวจหาไวรัสในนกต่าง ๆ ที่ซื้อขายตามร้านและฝูงนกที่พบในสวนหลังบ้าน

ดร.ฟลอเรียน แครมเมอร์ (Dr. Florian Krammer) ศาสตราจารย์ด้านวัคซีนวิทยาจากโรงเรียนแพทย์ไอคาห์น เมาท์ไซนาย ในนิวยอร์ก (Icahn School of Medicine at Mount Sinai in New York) กล่าวว่า “มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้าย… เราพบเห็นการสัมผัสเชื้อจำนวนมากในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก และแม้แต่ในนกที่เมืองนิวยอร์กซิตี้ด้วย”

นกจะปล่อยไวรัสออกทางน้ำลาย น้ำมูกเมือก และอุจจาระ ดังนั้นคนหรือสัตว์อื่น ๆ ที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับนกที่ติดเชื้อ หรือในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนโดยไม่มีการป้องกันก็อาจติดเชื้อได้

และในเดือนมีนาคม คศ. 2024 มีรายงานพบไข้หวัดนก H5N1 เป็นครั้งแรกในวัวนม กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่าในการสำรวจครั้งล่าสุด มีฝูงวัวนม 101 ฝูงใน 12 รัฐที่ติดเชื้อ และพบผู้ป่วยหลายรายซึ่งเป็นคนงานในฟาร์มวัวนมด้วย

จากนกสู่วัวนมและคนงานในฟาร์ม

ห้องปฏิบัติการสัตวแพทย์แห่งชาติยืนยันว่าการติดเชื้อเหล่านี้เป็นการติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคได้ ดีมากกลุ่ม 2.3.4.4b ของสายพันธุ์ยูเรเซีย ที่เรียกอีกอย่างว่ากลุ่มห่านกวางตุ้งจากจีน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรม (phylogenetic analysis) และระบาดวิทยาบ่งชี้ว่ามีการแพร่เชื้อเพียงครั้งเดียวในโคนมและแพร่กระจายต่อไปหลังจากการติดเชื้อครั้งนั้น

ดร.ดูแกนกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า “ดิฉันรู้สึกประหลาดใจที่ไวรัส H5 แพร่สู่โคนมแบบนี้” “ไวรัสไข้หวัดใหญ่มักจะทำให้เราประหลาดใจเสมอ และสิ่งนี้เตือนให้ดิฉันถ่อมตนและเปิดใจกว้างเมื่อทำงานเกี่ยวกับไวรัสเหล่านี้”

ดร.ดูแกนกล่าวว่าการที่คนจะได้รับเชื้อไวรัสทางลมหายใจ หรือทางตาหรือปากจนทำให้ป่วยนั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หอบ หายใจถี่ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล หรือคัดจมูกได้

เช่นเดียวกับไวรัสชนิดอื่น ผู้คนอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดตัว ปวดหัว อ่อนเพลีย มีไข้ หรืออย่างที่พบในคนงานในฟาร์ม อาจมีอาการตาแดง เยื่อบุตาอักเสบได้

แต่ก็มีอาการที่พบได้น้อยกว่า เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน และบางครั้งอาจมีอาการชักด้วย

ดร.ดูแกนกล่าวว่าความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่เจ้าหน้าที่ยังแนะนำให้ผู้ที่ทำงานกับสัตว์ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ และสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงชุดคลุมที่กันของเหลวได้ ผ้ากันเปื้อนกันน้ำ หน้ากากป้องกัน ฝุ่นที่ผ่านการรับรองด้านความปลอดภัยแล้ว แว่นตาหรือหน้ากากที่สวมพอดีทั้งใบหน้า หมวกคลุมศีรษะและผม ถุงมือ และ รองเท้าบู๊ต

ดร.ดูแกนกล่าวว่าผู้ให้บริการด้านการแพทย์มักจะไม่ซักถามประวัติเกี่ยวกับการสัมผัสโรคจากการทำงานเมื่อผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ด้วยอัตราการเกิดไข้หวัดนกที่เพิ่มขึ้นในสัตว์ที่เป็นพาหะรายใหม่ การถามเกี่ยวกับการสัมผัสโรคจากการทำงานจึงจะเป็นขั้นตอนต่อไปที่สำคัญ

การถามคำถามที่ต่างไปจากปกติ

แนวทางนี้ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานสำหรับบันทึกทางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่มีใช้กันอยู่โดยทั่วไป ดังนั้นแพทย์จะต้องถามคำถามเหล่านี้ด้วยตนเอง

ดร.เมแกน เดวิส (Dr, Meghan Davis) รองศาสตราจารย์จากวิทยาลัยสาธารณสุขจอนส์ ฮอปกิ้นส์ บลูมเบิร์ก (Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health) ในเมืองบัลติมอร์กล่าวว่า “แพทย์ควรซักถามเกี่ยวกับงานที่ผู้ป่วยทำ…หากยังไม่มีข้อมูลเรื่องนี้อยู่ในบันทึกการถามเกี่ยวกับการสัมผัสโดยตรงกับวัวนม สัตว์ปีก หมู นกป่า หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในป่าก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ”

ดร.เดวิสกล่าวว่าเธอกังวลเกี่ยวกับการศึกษาใหม่ที่ติดตามปัจจัยเสี่ยงของการแพร่เชื้อจากฟาร์มหนึ่งไปยังอีกฟาร์มหนึ่ง เนื่องจากการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าฟาร์มที่ตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกมักมีคนงานที่มีสมาชิกในครอบครัวทำงานในฟาร์มอื่นด้วย

ดร.เดวิสเน้นว่า “สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าเราอาจต้องมีการเฝ้าระวังการแพร่เชื้อภายในครอบครัวด้วย” และเสริมว่า ขณะนี้เราต้องถาม “ไม่เพียงแค่ว่าบุคคลที่มีอาการนั้นมีการติดต่อกับหรือทำงานในฟาร์มโคนม โรงงานแปรรูปนม หรือโรงฆ่าสัตว์หรือไม่ แต่ต้องถามด้วยว่ามีสมาชิกในครอบครัวทำงานดังกล่าวด้วยหรือไม่ด้วย”

ดร.เดวิสกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอเมื่อซักถามประวัติเหล่านี้ก็คืออาจมีคนงานอายุน้อย [กว่าที่กฏหมายอนุญาต] ทำงานในฟาร์มและในโรงฆ่าสัตว์และสถานที่แปรรูป สืบเนื่องมาจากเป็นกรณียกเว้นหรือการทำงานที่ผิดกฎหมาย

ดร.แครมเมอร์กล่าวว่าสิ่งสำคัญตอนนี้คือการควบคุมสถานการณ์ในโคนมในฤดูกาลนี้ให้ได้ “การควบคุมสถานการณ์ในวัวนมจะง่ายกว่าในมนุษย์ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องลงมือทำ หยุดการโยกย้ายวัวนมและเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่วัวนม”

การค้นหาผู้ป่วยรายใหม่

ตั้งแต่เดือนเมษายน คศ. 2024 เป็นต้นมา มีรายงานพบกรณีการติดไข้หวัดนกในคน 3 รายที่ติดเชื้อจากการสัมผัสกับวัวนม ดร.แครมเมอร์ กล่าวว่า “และสิ่งที่เราไม่อยากเห็นในฤดูร้อนนี้คือการระบาดของไข้หวัดนกเป็นกระจุกในมนุษย์ซึ่งผิดปกติ สิ่งสำคัญคือเราต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด”

เขากล่าวว่า “ไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถทำอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจได้ และในขณะที่เรากำลังเข้าสู่ฤดูไข้หวัดใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เราก็ไม่อยากให้มีการติดเชื้อร่วมชนิดใหม่เกิดในมนุษย์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาที่หนักหนาแก่เราได้” เขากล่าว

หากเกิดการผสมผสานของไวรัสตามฤดูกาลหลายชนิดในคน  อาจช่วยเสริมให้ไวรัสไข้หวัดนก H5N1 กลายพันธุ์เป็นชนิดที่ อันตรายมากกว่าเดิม และอาจทำให้เกิดโรคระบาดครั้งใหม่ได้

ดร.แครมเมอร์กล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ เราเพิ่งตั้งคำถามยาก ๆ แก่จีนเกี่ยวกับขั้นตอนที่ทางการจีนใช้เพื่อปกป้องชีวิตมนุษย์จากไวรัสซาร์สโควี-2ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ตอนนี้เราต้องถามคำถามเหล่านี้กับตัวเราเองหลาย ๆ ข้อเราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ซึ่งเราอาจจะรอดพ้นจากการระบาดใหม่ครั้งใหญ่ได้ หรือเห็นการระบาดนี้ปะทุเพิ่มขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อชีวิตผู้คน 10 ถึง 20 ล้านคน”

ดร.แครมเมอร์ชี้ให้เห็นว่ามีตัวอย่างในการหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจมีเพิ่มขึ้นได้อย่างปลอดภัย หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐได้ทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมสัตว์ปีกมาเป็นเวลาสองสามปีแล้ว “และในสหรัฐอเมริกา ความร่วมมือนี้ช่วยให้เราสามารถหยุดยั้งไวรัส H5N1 ได้สำเร็จด้วยกฎระเบียบและนโยบายใหม่ ๆ”

แต่ดร.ดูแกนคิดว่าการถ่ายโอนการทำงานกับฟาร์มสัตว์ปีกมาเป็นฟาร์มปศุสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟาร์มปศุสัตว์ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับไข้หวัดนกหรือไม่มีระเบียบข้อบังคับในการควบคุมโรคนี้ และเจ้าหน้าที่เองก็กำลังทำงานในพื้นที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นกัน[2]

ดร.ครามเมอร์ให้ข้อคิดว่า “ปัญหาที่เรามีอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นปัญหาเชิงนโยบาย และไม่ชัดเจนเสมอไปว่าใครเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ

ดร.ดูแกนเสริมว่า “หน่วยงานต่าง ๆ กำลังทำงานร่วมกันทั้งในระดับรัฐ รัฐบาลกลาง และระดับโลกเรากำลังเพิ่มความโปร่งใส และกำลังดำเนินการเพื่อแบ่งปันสิ่งที่เรารู้ เมื่อเรารู้”

ดร.ดูแกนกล่าวว่าโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด ช่วยให้ทีมงานเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตครั้งใหม่นี้ การตรวจสอบเฝ้าระวังหลายขั้นตอนตลอดทั้งปีทำให้ห้องปฏิบัติการทางคลินิกรายงานกรณีไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และกรณีโรคอุบัติใหม่กรณีต่าง ๆ

ดร.ดูแกนกล่าวว่า “ห้องปฏิบัติการพร้อมที่จะช่วยเหลือในการตรวจการติดเชื้อ

เธอเน้นว่าควรเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัดใหญ่โดยเร็วที่สุด และแนะนำให้ใช้ไม้พันสำลีหรือสวอปเช็ดด้านหลัง โพรงจมูก (nasopharyngeal swab) ซึ่งเป็นการสวอปโพรงจมูกและโพรงคอหอย  หากผู้ป่วยมีเยื่อบุตาอักเสบพร้อมกับมีหรือ ไม่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจก็ตาม ควรเก็บตัวอย่างทั้งสวอปเยื่อบุตาและโพรงจมูก

สำหรับผู้ที่เป็นโรคทางเดินหายใจรุนแรงควรเก็บตัวอย่างทางเดินหายใจส่วนล่างของหลอดลมด้วย

สิ่งที่แนะนำรวมถึงมาตรการป้องกันแบบมาตรฐานเพื่อป้องกันการแพร่กระจายจากการสัมผัสและสูดดมทางการหายใจ สำหรับผู้ป่วยที่เข้ามาตรวจรักษาและมีอาการป่วยที่สอดคล้องกับไข้หวัดใหญ่และมีการสัมผัสนกหรือสัตว์อื่นๆเมื่อไม่นานนี้

ยาต้านไวรัส

มียาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอยู่ 4 ชนิด ได้แก่

  1. อเซลทามิเวียร์ฟอสเฟต (Oseltamivir phosphate) ซึ่งมีจำหน่ายเป็นยาสามัญว่าทามิฟลู (Tamifu)
  2. ซานามิเวียร์ (Zanamivir) ซึ่งมีจำหน่ายเป็นยาสามัญว่าเรเลนซา (Relenza)
  3. เพรามิเวียร์ (Peramivir) ซึ่งมีจำหน่ายเป็นยาสามัญว่าราพิแวบ (Rapivab)
  4. บาโลซาวิร์ (Baloxavir) ซึ่งมีจำหน่ายเป็นยาสามัญว่าโซฟลูซา (Xofluza)

สำหรับผู้ที่อยู่ในข่ายสงสัยหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดนก แนะนำให้เข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด

ในขณะนี้ยังไม่มีการวิจัยทางคลินิกที่วัดผลของยาต้านไวรัสในผู้ติดเชื้อไข้หวัดนก อย่างไรก็ตามข้อมูลจากการทดลองกับสัตว์และการศึกษาเชิงสังเกตในมนุษย์ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์

ดร.ครามเมอร์เน้นว่า “เราไม่ควรพลาดโอกาสในช่วงฤดูร้อนนี้…ขณะนี้เรายังมีโอกาสที่จะหยุดยั้งการติดเชื้อในวัวนมได้ ก่อนที่จะแพร่กระจายสู่คนจำนวนมาก ซึ่งหวังว่าเป็นสิ่งที่เราจะทำได้”

__________________________________________

[1] จาก New Human Cases of Avian Flu Anticipated โดย Allison Shelley เมื่อ 13 มิถุนายน 2567 ใน https://www.medscape.com/viewarticle/newhuman-cases-avian-flu-anticipated-2024a1000bfg?form=fpf

[2] การฉีดวัคซีนให้แก่วัวควรต้องมีการตรวจการติดเชื้อในวัวด้วย และมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากแนะนำให้มีการตรวจการติดไวรัส H5N1 ในวัวนมของฟาร์ม ในสหรัฐอเมริกา แต่ในทางปฏิบัตินั้นทำได้ยากเพราะเจ้าของฟาร์มวัวนมจำนวนหนึ่งหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตรวจวัวในฟาร์มของตน เพราะการติดเชื้อในฟาร์มมี ผลกระทบต่ออาชีพและรายได้ของฟาร์ม ฟาร์มที่มีวัวติดเชื้อจะขายนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมไม่ได้ ขายวัวในฟาร์มไม่ได้ ดังที่ข่าว Bird flu is keeping daily cows away from state fairs < https://www.washingtonpost.com/health/2024/08/17/bird-flu-cows-state-fairs/> อธิบายว่าเจ้าของฟาร์มในหลายรัฐไม่ส่ง วัวนมของตนเข้าร่วมงานแสดงสินค้าทางเกษตรที่จัดขึ้นในรัฐ เพราะการเข้าร่วมงานจะต้องมีผลการตรวจไวรัสไข้หวัดนกเป็นลบ ซึ่งผลการตรวจเป็นบวก จะมีผลเสียต่อรายได้ของเจ้าของฟาร์มเป็นอย่างมาก