ผลิตภัณฑ์เพื่อปกป้องผู้หญิงจากเอชไอวีและการตั้งครรภ์เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ทำไมยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น?

อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ แปล

ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ใช้ทั้งสำหรับป้องกันการติดเอชไอวีและเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น ป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่ พึงประสงค์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เป็นที่กล่าวถึงกันมานานแล้ว ในเวปไซท์ The Fuller Project ซึ่งเป็นเวปไซด์ ที่เน้นข่าวที่เกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้หญิง มีข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันมากกว่าหนึ่งอย่าง หรือ Multipurpose Prevention Technologies (MPTs) ซึ่งในข่าวนี้หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้องกันได้ทั้งเอชไอวีและการตั้ง ครรภ์ ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ [1]

ภาพโดย wavebreakmedia/shutterstock.com ใน TimesLIVE

เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่ติดเอชไอวีรายใหม่ของทุกๆปีเป็นผู้หญิงในซับซาฮาราอาฟริกา และมากกว่าสามในสี่ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดของคนหนุ่มสาวเป็นเด็กหญิงและหญิงสาว ส่วนการตั้งครรภ์ของทั่วโลกนั้นเกือบครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิสและโรคหนองในก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

มีเพียงผลิตภัณฑ์เดียวในท้องตลาดที่ป้องกันการตั้งครรภ์ การติดเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆได้พร้อมกันคือถุงยางอนามัย แต่ผู้ชายมักปฏิเสธที่จะใช้มัน ส่วนถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงนั้นมีราคาแพงกว่ามาก หาซื้อได้ยาก และไม่เป็นที่นิยมเหมือนกัน จึงเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงจะได้รับประโยชน์หากมีผลิตภัณฑ์ที่เธอสามารถใช้ได้เองและปกป้องพวกเธอจากการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปพร้อม ๆ กัน

มีความคิดริเริ่มขนาดเล็กจำนวนมากมายที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวภายใต้ชื่อที่ยาวรุ่มร่ามว่า “เทคโนโลยีการป้องกันอเนกประสงค์” หรือ เอมพีทีส์ (MPTs) แต่ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ผู้หญิงใช้ได้

เบธานี ยัง โฮลท์ (Bethany Young Holt) ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการความคิดริเริ่มเพื่อเอ็มพีทีส์ (Initiative for MPTs) กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องใช้สมองในการคิด แต่ไม่มีเงินทุน” ความคิดริเริ่มเพื่อเอ็มพีทีส์ หรือไอเอ็มพีที (IMPT)เป็นกลุ่มเครือข่ายและผู้สนับสนุนที่อุทิศตนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

โฮลต์ได้ทำงานมาเป็นเวลาสองทศวรรษแล้วเพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์ป้องกันอเนกประสงค์ถึงมือของผู้หญิง แต่อุปสรรคด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับการอนุมัติ การขาดแคลนเงินทุน และความลังเลอย่างเห็นได้ชัดในระหว่างบริษัทยาด้วยกัน ทำให้มีความคืบหน้าในเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เธอกล่าวว่า “เราย้อนกลับไปกลับมาเป็นวงกลม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดมาก”

ดังนั้นผู้หญิงและผู้ชายที่ไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์อย่างไร เมื่อใด และเมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วจะติดเอชไอวี ซิฟิลิส หรือหนองใน หรือติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นด้วยหรือเปล่า ซึ่งเอเวอร์ลีน ออมบาติ (Everlyne Ombati) จากสถาบันวิจัยการแพทย์เคนยากล่าวว่า “คุณอาจตั้งครรภ์หรือติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือทั้งสองอย่างได้ และผู้หญิงและเด็กหญิงจำเป็นต้องได้รับการปกป้องที่แนบเนียน”

ออมบาติ กล่าวในการประชุมร่วมที่สนับสนุนโดยไอเอ็มพีที (IMPT) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติในเดือนมิถุนายนว่า “การเจรจาต่อรองเรื่องเพศที่ปลอดภัยไม่ง่ายไปกว่านี้แล้ว…ถ้าฉันมีทางเลือกโดยที่คู่ของฉันไม่ต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางเลือกที่ไม่ต้องได้รับความยินยอมในการใช้ ฉันจะใช้มัน”

นักวิจัยได้พยายามหาวิธีต่างๆที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เช่นนี้ ซึ่งรวมถึงวงแหวนสอดช่องคลอดที่ปล่อยยาออกมาช้า ๆ เจลสำหรับใช้ในช่องคลอดและทวารหนัก ยาเม็ดผสมที่มีทั้งยาคุมกำเนิดและยาป้องกันเอชไอวี ฟิล์ม และอุปกรณ์ที่ฝังหรือสอดใส่ในช่องคลอด

แต่แล้วทั้งหมดนี้ก็หยุดชะงักในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา เนื่องจากขาดเงินทุนและปัญหาเกี่ยวกับการทำงานแบบราชการที่มีกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมากมาย

โฮลท์กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกตื่นเต้น มีความหวัง และมีคำมั่นสัญญา และแล้วเงินทุนก็ถูกตัดไป ซึ่งรู้สึกว่าเศร้ามาก” และเสริมว่า “ดิฉันเคยเห็นบริษัทยารายใหญ่หลายบริษัทมาร่วมประชุม และพวกเขาแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แต่ก็มีความลังเลที่จะลงทุนสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มีผลตอบแทนการลงทุนที่สูง”

การยับยั้งชั่งใจเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับยาคุมกำเนิด พญ. ไดอาน่า คอนเทรราส (Dr. Diana Contreras) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพของสหพันธ์วางแผนครอบครัวแห่งอเมริกากล่าวว่า “หากคุณต้องการเจาะลึกจริง ๆ ว่าเหตุใดผลิตภัณฑ์ป้องกันอเนกประสงค์หยุดชะงักไป คำตอบคือเงินทุนสนับสนุน” และตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมไม่มีใครสนใจเรื่องสุขภาพของผู้หญิงเลยหรือ? เหตุใดจึงไม่มียาคุมกำเนิดมากกว่านี้? มันต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุน”

ในที่สุดผลิตภัณฑ์ป้องกันอเนกประสงค์ก็จะเป็นที่ต้องการมากที่สุดในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งอัตรากำไร​จะต่ำกว่ายาอื่นมาก เช่นยารักษามะเร็งในสหรัฐอเมริกา แม้แต่ในประเทศที่ร่ำรวยกว่าก็ยังมีความต้องการในกลุ่มคนหนุ่มสาวอายุน้อยที่ยังมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งก็ไม่ใช่ตลาดที่ทำกำไรได้มากที่สุดสำหรับผู้ผลิตยาเช่นกัน

โดยมากแล้ว สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) เป็นหน่วยงานที่ให้ทุนสำหรับการพัฒนายาในระยะเริ่มแรกและโดยทั่วไปแล้วสถาบันฯจะให้อนุมัติสำหรับผลิตภัณฑ์นั้นกับบริษัทเภสัชกรรมหรือบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อให้นำผลิตภัณฑ์เหล่านั้นผ่านการทดสอบต่างๆในระดับก้าวหน้าต่อไป ตามด้วยการขออนุมัติขึ้นทะเบียนตามกฎระเบียบ และนำออกสู่ตลาด สถาบันสุขภาพแห่งชาติมีสามสถาบันที่สนับสนุนให้นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้องกันอเนกประสงค์สมัครขอรับทุนได้ สถาบันทั้งสามนั้นได้แก่ สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases หรือ NIAID) สถาบันสุขภาพเด็กและการพัฒนามนุษย์แห่งชาติ (National Institute of Child Health and Human Development หรือ NICHD) และสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health หรือ NIMH)

องค์กรสาธารณกุศลไม่แสวงผลกำไร เช่น สภาประชากร (Population Council) ก็ให้การสนับสนุนการวิจัยในช่วงแรกเช่นกัน แต่ภายใต้ระบบปัจจุบันจำเป็นที่จะต้องมีบริษัทยาขนาดใหญ่ที่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อผลักดันให้เป็นผลสำเร็จ

อุปสรรคอีกประการหนึ่งคือ ผลิตภัณฑ์ป้องกันอเนกประสงค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อน มีหลายอย่างเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ต้องได้รับการอนุมัติก่อน ส่วนประกอบของยาแต่ละชนิดต้องแสดงให้เห็นว่าแต่ละอย่างมีความปลอดภัย จากนั้นจะต้องแสดงให้เห็นว่าส่วนประกอบของยาแต่ละอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างปลอดภัย ซึ่งแต่ละขั้นตอนอาจใช้เวลาหลายปี

พญ. คอนเทรราส รู้สึกเห็นอกเห็นใจบริษัทยาอยู่บ้าง เธอกล่าวว่า “การวิจัยและพัฒนาเป็นเรื่องยาก…คุณต้องลงทุน และคุณไม่รู้ว่าการลงทุนนั้นจะคุ้มทุนหรือไม่อีก 20 ปีต่อมา” ซึ่งตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (Congressional Budget Office) ในการนำเอายาใหม่ออกสู่ท้องตลาดนั้นจะมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 1 พันล้านดอลลาร์ถึง 2 พันล้านดอลลาร์

ตามความเห็นของผู้รณรงค์ ทางออกอาจจะเป็นแนวทางใหม่เกี่ยวกับกระบวนการอนุมัติผลิตภัณฑ์ หรือแม้แต่แนวทางการทำงานใหม่ทั้งหมดเลย บางคนก็ต้องการความร่วมมือที่ดีขึ้นจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา บางคนก็กำลังมองหาประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาที่มีอุตสาหกรรมยา เช่น อินเดีย

พญ. คอนเทรราส กล่าวว่า “โดยปกติแล้วเมื่อคุณพบปัญหา มันจะสัมพันธ์กับระบบ…สิ่งที่เราต้องเพ่งเล็งจริง ๆ คือระบบ”

__________________________________________

[1] A product to protect women against HIV and pregnancy is a no-brainer. Why isn’t there one? โดย Maggie Fox เมื่อ 8 กรกฎาคม 2567 ใน https:// fullerproject.org/story/a-product-to-protect-women-against-hiv-and-pregnancy-is-a-no-brainer-why-isnt-there-one/