อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ แปล
ประสบการณ์จากโควิด-19 เพิ่มความตระหนักของผู้คนต่อโรคระบาดมากขึ้น ในปัจจุบันมีโรคติดเชื้อหลายโรคที่อาจกลายเป็นโรคระบาดขนาดใหญ่ได้อีก เช่น โรคหัดที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาที่อาจนำไปสู่ปัญหาสาธารณสุขระดับวิกฤตของประเทศ หรือการติดซิฟิลิสที่ปะทุขึ้นอีกในหลายๆประเทศ และล่าสุดสถานการณ์เกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ที่รวมถึงไข้หวัดนก (avian influenza) ที่กำลังระบาดในหลายภูมิภาคของโลก และทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและคนติดเชื้อ ความเป็นไปได้ที่การติดไข้หวัดนกในคนอาจนำไปสู่การป่วยรุนแรงหรือตายได้ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเฝ้าระวังการระบาดของไข้หวัดนกในครั้งนี้
กรณีเหล่านี้ไม่มีทางที่จะบอกได้ว่าไวรัสที่เกี่ยวข้องจะมีศักยภาพในการระบาดระหว่างคนต่อคนได้หรือไม่ หรือเมื่อไรและภายใต้สถานการณ์อย่างไรที่ไวรัสจะกระโดดข้ามสายพันธ์จากสัตว์อื่นๆมาสู่คนได้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (U.S. CDC) เรียกไข้หวัดนก H5N1 ที่กำลังระบาดในปัจจุบันว่าเป็นไข้หวัดนกที่ทำให้เกิดโรคได้สูง (Highly pathogenic avian influenza) การระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ในปัจจุบันทำให้นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลกมีความกังวลเพราะพบการติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งสัตว์ป่าหลาย
ชนิดและสัตว์เลี้ยง (วัวนม) ภายในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ไข้หวัดนกที่ตรวจพบในวัวนมได้แพร่ระบาดในสัตว์ป่าต่างๆมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ภายในเวลาไม่ถึงปี ไข้หวัดนก H5N1 ทำให้สิงโตทะเล (South American sea lions) ตามชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ตายไปกว่า 24,000 ตัว และกำลังแพร่ระบาดในแมวน้ำช้าง (elephant seals) และฆ่าแมวน้ำช้างเป็นจำนวนมากด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสัตว์ป่าคนหนึ่งประเมินว่าลูกแมวน้ำช้างอย่างน้อย 17,400 ตัวในภูมิภาคอเมริกาใต้ตายจากไข้หวัดนก [1]
ไข้หวัดนกสายพันธ์ุที่กำลังระบาดในปัจจุบันแพร่ระบาดมาแล้วเป็นเวลากว่า 20 ปี และการที่ไวรัสนี้กระโดดไปสู่วัวเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก ซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่จับตามองไวรัสนี้มาเป็นเวลานานแล้วก็ยังแปลกใจ ปกติแล้วไข้หวัดนกเป็นไวรัสที่พิถีพิถันเกี่ยวกับสัตว์ที่มันอาศัยเป็นเจ้าภาพ (หรือ host) ไวรัสมักจะเลือกติดนกบางประเภทเท่านั้น แต่ไข้หวัดนกสายพันธ์ุนี้แพร่ระบาดในสัตว์ต่างๆมากมายทั้งนกและสัตว์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นกระรอก สกั๊งค์ (skunk) ปลาโลมา หมีขาว และล่าสุดวัวนม ดร. ทรอย ชัดตัน (Dr. Troy Sutton) ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ในคนและสัตว์กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ The New York Times ว่าจากอาชีพของเขาที่เกี่ยวกับการศึกษาไข้หวัดใหญ่ต่างๆ เขาไม่เคยเห็นไข้หวัดใหญ่อื่น ๆ ที่สามารถแพร่ระบาดในสัตว์ต่างๆที่หลากหลายและรวดเร็วดังเช่นไข้หวัดนก H5N1 สายพันธ์นี้เลย (จากหมายเหตุ 1)
ไข้หวัดนก H5N1 ถูกตรวจพบเป็นครั้งแรกในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อเดือนธันวาคม คศ. 2021 จากนกนางนวลในฟาร์มแห่งหนึ่งที่เมืองเซ็นต์จอห์นส์ (St. John’s) นิวฟันด์แลนด์ (Newfundland) และทำให้นกนางนวลตายหลายร้อยตัว คาดกันว่านกอพยพจากยุโรปไปสู่อเมริกาเหนือพาไวรัสไข้หวัดนก H5N1 มาด้วย หรือนกทะเลตามชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือที่บินขึ้นเหนือเพื่อผสมพันธ์ุและเลี้ยงลูกที่นิวฟันด์แลนด์พาไวรัสกลับมาด้วย ต่อมาในเดือนมกราคม 2022 ตรวจพบไข้หวัดนก H5N1 ในนกป่าในรัฐคาโรไลนาเหนือ และคาโรไลนาใต้ และแพร่ระบาดต่อไปสู่แมวน้ำพันธ์ุต่าง ๆ ในชายฝั่งตะวันออกของประเทศคานาดาและอเมริกาตอนเหนือในช่วงฤดูร้อน ในฤดูใบไม้ร่วง H5N1 เริ่มแพร่ระบาดในเม็กซิโก และพื้นที่ต่าง ๆ ของอเมริกากลางและชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ เช่น ในเปรู นกกระทุง (pelicans) หลายแสนตัวตายจากไข้หวัดนก H5N1 ในต้นปี 2023 พบสิงโตทะเลตายเป็นจำนวนหลายหมื่นตัวในเปรูและชิลีจากไข้หวัดนก H5N1 และในปลายปี 2023 ไข้หวัด
นก H5N1 แพร่ไปสู่เคปฮอร์น (Cape Horn) ที่อยู่ใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ และวกกลับขึ้นเหนือไปตามชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ขึ้นไปถึงบราซิล และล่าสุดในปลายปี 2023 ไวรัสแพร่ระบาดไปถึงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (Falkland Islands)และเกาะเซาท์จอร์เจีย (South Georgia) ในภูมิภาคแอนตาร์กติก (Antartic)
ในความเห็นของ ดร. ชัดตันในปัจจุบันยังไม่มีท่าทีว่าไวรัสไข้หวัดนก H5N1 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่อาจทำให้เกิดการระบาดระดับใหญ่แบบแพนเดมิก (pandemic) ได้ อย่างไรก็ตาม ดร. ชัดตัน เตือนว่าเรายังไม่รู้จริงๆว่าจะแปลความหมายของปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างไร
ไวรัสไข้หวัดนก H5N1 สายพันธ์ุที่แพร่ระบาดได้ดีนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในเป็ดบ้านและห่านบ้านในประเทศจีนเมื่อปี คศ.1996 และทำให้คน 18 คนในฮ่องกงติดเชื้อซึ่ง 6 คนเสียชีวิต หลังจากนั้นไวรัสนี้ก็หายเงียบไป และโผล่ขึ้นมาใหม่ในฮ่องกงในปี 2003 ซึ่งหลังจากนั้นไวรัสนี้ทำให้เกิดการแพร่ระบาดในสัตว์เลี้ยงประเภท ไก่ เป็ด และห่าน หลายรอบ และทำให้คนเกือบพันคนที่คลุกคลีกับสัตว์ประเภทนี้ติดเชื้อ และไวรัส H5N1 ที่ระบาดอยู่ในขณะนี้เริ่มจากยุโรปในปี 2020 และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปสู่อาฟริกาและเอเซียทำให้สัตว์ปีกจำนวนมากตาย แต่ไวรัส H5N1 สายพันธ์ุปัจจุบันนี้ต่างกับสายพันธุ์ก่อนหน้านี้เพราะมันแพร่ระบาดในนกป่า นกตามธรรมชาติ และสัตว์อื่นๆดังที่เอ่ยถึงแล้วด้วย [2]
การพิสูจน์ว่าไวรัสไข้หวัดนก H5N1 แพร่จากสัตว์ตระกูลหนึ่งไปสู่สัตว์ตระกูลอื่นได้อย่างไรและเมื่อไรเป็นเรื่องยาก แต่การวิเคราะห์พันธุกรรมบ่งบอกว่าสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม (แมวน้ สิงโตทะเล) ติดเชื้อและแพร่เชื้อจากสัตว์พวกเดียวกันและไม่ได้ติดเชื้อมาจากสัตว์ปีก ตัวอย่างของไวรัสที่ได้จากแมวน้ำและสิงโตทะเลในเปรู ชิลี และอาร์เจนตินา มีการกลายพันธุ์ 15 แห่งที่ไม่พบในไวรัสที่เก็บได้จากสัตว์ปีก
โดยทั่วไปแล้วไวรัสไข้หวัดใหญ่เชี่ยวชาญในการกลายพันธุ์ เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สองชนิดทำให้สัตว์ตัวเดียวกันติดเชื้อไวรัสทั้งสองสามารถสลับและเปลี่ยนพันธุกรรมระหว่างกันได้และกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และไม่เป็นที่แน่ชัดว่าตั้งแต่ที่ไวรัส H5N1 โผล่ออกมา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนและอย่างไร การศึกษาหนึ่งแสดงว่าตั้งแต่ไวรัส H5N1 แพร่ในสหรัฐอเมริกามันได้ผสมกับไวรัสสายพันธุ์อื่นๆที่แพร่ระบาดอยู่แล้วในสหรัฐอเมริกา และกลายเป็น H5N1 รุ่นต่าง ๆ อีกมากมาย ไวรัสรุ่นต่าง ๆ นี้ทำให้เกิดอาการที่หลากหลาย บางรุ่นไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง และบางรุ่นทำให้เกิดอาการรุนแรงรวมถึงอาการทางประสาท ดร. วินเซ็นท์ มันสเตอร์ (Dr. Vincent Munster) นักไวรัสวิทยาจากสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับการแปลงพันธุ์ของไวรัส H5N1 ที่จำเป็นสำหรับการแพร่ระบาดในคนกล่าวว่าไวรัสรุ่นที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันได้ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปีและกลายเป็นไวรัสที่อยู่รอดได้ดีในสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลากหลายชนิด
สิ่งที่แน่นอนก็คือยิ่งไวรัส H5N1 ทำให้สัตว์ประเภทต่างๆติดไวรัสได้มากประเภทเท่าไร โอกาสที่มันจะวิวัฒนาการต่อ ๆ ไปก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ไวรัสนี้สามารถกระโดดมาสู่มนุษย์ได้ดังที่เกิดขึ้นในปีคศ. 2009 เมื่อไวรัสไข้หวัดหมู (swine flu) ทำให้เกิดโรคระบาดในคนและทำให้คนตายเกือบสามแสนคนในช่วงเวลาประมาณ 15 เดือน
การระบาดของไวรัส H5N1 ในสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกที่เป็นสัตว์ป่า เช่น แมวน้ และสิงโตทะเล ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากนักในสหรัฐอเมริกาจนกระทั่งเมื่อมันเริ่มระบาดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นสัตว์เลี้ยงซึ่งในกรณีนี้เป็นการระบาดในฟาร์มวัวนมหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา และนอกจากจะทำให้วัวนมติดไวรัสแล้ว ไวรัส H5N1 ยังทำให้คนที่ทำงานในฟาร์มโคนมติดเชื้อด้วย
สิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้กังวลคือฟาร์มวัวนมเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับไวรัสที่จะกระโดดข้ามจากสัตว์สายพันธ์ุหนึ่งไปสู่อีกสายพันธุ์หนึ่งได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งไปสู่หมู ในฟาร์มวัวนมนั้นไวรัสมีโอกาสที่จะกระโดดจากแมว (ที่กินซากนกที่ตายจากไข้หวัดนก) ไปสู่วัว หรือไปสู่หมู และไปสู่คน ที่ลำดับการแพร่ระหว่างสายพันธุ์สัตว์ต่างๆจะเป็นอย่างไรก็ได้แล้วแต่โอกาส หมูเป็นสัตว์ที่เปราะบางต่อการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในนกและในมนุษย์ทำให้หมูเป็นแหล่งที่เหมาะสมสำหรับไวรัสสายพันธ์ุต่างๆจะแลกเปลี่ยนพันธุกรรมระหว่างกันและทำให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นมีความสามารถแตกต่างไป (เช่น แพร่ระบาดในสัตว์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น หรือทำให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรง) แต่เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าไวรัส H5N1 ยังไม่ทำให้หมูติดเชื้อได้แต่เรื่องนี้อาจเปลี่ยนไปได้เมื่อไวรัสแปลงพันธุ์ต่อ ๆ ไปอีก
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการระบาดของไวรัส H5N1 ในวัวนมในสหรัฐอเมริกานั้นมีความครอบคลุมแค่ไหน กรณีวัวนมติดไวรัส H5N1 กรณีแรกในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และปัจจุบันมีรายงานจาก 9 รัฐที่มีการระบาดของไวรัส H5N1 ในวัวนมและมีฝูงวัวที่มีการระบาด 79 ฝูง [3] แต่การแพร่ระบาดในวัวเริ่มเมื่อไรนั้นหรือมีขอบเขตแค่ไหนยังไม่สามารถบอกได้เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่สำคัญหลายอย่าง เช่น จำนวนวัวทั้งหมดที่ได้รับตรวจการติดเชื้อ หรือ จำนวนวัวที่มีอาการป่วย จำนวนวัวที่ติดไวรัสแต่ไม่ออกอาการ และวัวที่ไม่มีอาการจะสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้หรือไม่ คำถามเหล่านี้ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นอีก
ผู้เชี่ยวชาญบางคนคิดว่าการระบาดในวัวนั้นอาจเริ่มก่อนที่จะมีรายงานในเดือนมีนาคมแล้ว และจากการวิเคราะห์สายพันธุ์ของไวรัสที่พบในวัวแสดงว่าการแพร่ระบาดในวัวนั้นน่าจะเป็นการแพร่ระบาดระหว่างวัวด้วยกันเองเพราะลำดับของพันธุกรรมของแต่ละตัวอย่างมีความคล้ายคลึงกัน แต่กลไกในการแพร่ระบาดเป็นอย่างไรนั้นยังไม่เป็นที่รู้กัน [4] และการแพร่จากสัตว์ปีกไปสู่วัวนั้นสันนิษฐานว่าเป็นการแพร่ระบาดจากฟาร์มไก่หรือเป็ดไปสู่ฟาร์มวัวในบริเวณใกล้เคียงกัน ส่วนการแพร่ระบาดระหว่างฟาร์มหนึ่งไปสู่ฟาร์มหนึ่ง (หรือจากฝูงหนึ่งไปสู่อีกฝูงหนึ่ง) อาจมาจากอุปกรณ์การรีดนม หรือการขนย้ายวัวจากฟาร์มหนึ่งไปอีกฟาร์มหนึ่ง รวมทั้งการขนย้ายวัวจากรัฐหนึ่งไปสู่อีกรัฐหนึ่ง
อาการของวัวที่ติดไข้หวัดนกรวมถึงปริมาณน้ำนมลดลง เบื่ออาหาร น้ำนมข้นกว่าปกติ มีไข้ต่ำ ๆ และวัวที่ติดเชื้อจะฟื้นตัวเป็นปกติหลังจากที่ได้รับการดูแลตามอาการ เท่าที่ผ่านมาแทบจะไม่มีวัวที่เสียชีวิตจากไวรัส H5N1 แต่เนื่องจากข้อมูลสำคัญหลายอย่างที่เอ่ยไปแล้วมีไม่มากพอ ดังนั้นจำนวนวัวที่เสียชีวิตจากไวรัส H5N1 ย่อมจะต่ำกว่าความเป็นจริง
สิ่งที่เพิ่มความกังวลและส่อถึงจุดอ่อนในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก H5N1 นี้คือการตรวจพบชิ้นส่วนของไวรัส H5N1 ในนมวัวที่จำหน่ายในท้องตลาดที่มีรายงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การตรวจพบชิ้นส่วนของไวรัสในนมวัวอาจหมายถึงวัวที่ไม่มีอาการป่วยยังสามารถปล่อยไวรัส (หรือ viral shedding) ต่อไปได้เพราะว่านมจากวัวที่มีอาการป่วยจะถูกทิ้งไป และชิ้นส่วนของไวรัสในนมวัวที่วางขายตามท้องตลาดอาจแสดงถึงจำนวนวัวที่ติดเชื้อและไม่มีอาการมีจำนวนมากกว่าที่ประเมินกัน และขอบเขตของการระบาดของไวรัส H5N1 ในวัวนมอาจกว้างกว่าที่คาดด้วย
ชิ้นส่วนของไวรัส H5N1 ที่ตรวจพบในนมวัวเป็นเพียงชิ้นส่วนทางพันธุกรรมของไวรัสและไม่ได้หมายความว่าตรวจพบไวรัส H5N1 ที่ยังมีชีวิตอยู่และสามารถขยายตัวเพิ่มต่อไปได้อีก การตรวจชิ้นส่วนทางพันธุกรรมของไวรัสได้นี้เป็นการตรวจแบบพีซีอาร์ (PCR) ที่มีความไวมากจึงสามารถตรวจพบชิ้นส่วนทางพันธุกรรมของไวรัสที่มีขนาดเล็กมากได้ ชิ้นส่วนทางพันธุกรรมของไวรัสในนมเพียงแต่แสดงว่าในช่วงหนึ่งนมที่ตรวจนั้นมีความเกี่ยวข้องกับไวรัสเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วกระบวนการฆ่าเชื้อโรคในนมด้วยความร้อน หรือพาสเจอร์ไรส์ (pasturization) จะฆ่าเชื้อโรคต่างๆรวมถึงไวรัส H5N1 ด้วย ดร.ดอน เพรเตอร์ (Dr. Don Prater) จากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกากล่าวว่าการทดลองแสดงว่ากระบวนการพาสเจอร์ไรส์นมสามารถฆ่าไวรัส H5N1 ได้ นอกจากนั้นแล้วไข่ที่ถูกพาสเจอร์ไรส์แล้ว (ซึ่งใช้อุณหภูมิต่ำกว่าที่ใช้กับนม) ก็ยังสามารถฆ่าไวรัส H5N1 ได้เช่นกัน (จากหมายเหตุ 4)
ในปัจจุบันมีคนสามคนที่ติดไวรัส H5N1 ทั้งสามคนเป็นคนที่ทำงานคลุกคลีกับวัวนม สองคนแรกนั้นมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรง ทั้งสองคนมีอาการตาอักเสบ (conjunctivitis หรือโรคตาแดง) แต่คนที่สามมีอาการที่ต่างกับสองคนแรกและเป็นอาการที่น่ากังวลเพราะเป็นอาการเจ็บคอ ไอ และนำ้ตาไหล ซึ่งเป็นอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ชายทั้งสามคนทำงานในฟาร์มวัวสามแห่ง (คนแรกทำงานในฟาร์มในรัฐเท็กซัส อีกสองคนทำงานในฟาร์มวัวในรัฐมิชิแกนแต่เป็นคนละฟาร์มกัน) การติดเชื้อของคนที่สามที่มีอาการทางลมหายใจทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางคนคิดว่าการระบาดของไวรัส H5N1 ในสหรัฐอเมริกาถึงจุดเปลี่ยนแปลงแล้วและเป็นเรื่องที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจากการไอสามารถแพร่เชื้อได้ดีกว่าอาการตาเจ็บ [5]
พญ. ซอนยา โอลเซน (Dr. Sonya Olsen) จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกากล่าวว่ายังไม่มีคำตอบว่าความเสี่ยงของคนต่อการติดไวรัส H5N1 จากวัวนั้นมีกลไกอย่างไร เช่น จากการดื่มนมสดที่ยังไม่มีการฆ่าเชื้อหรือนมดิบ (raw milk) หรือการติดมาจากพื้นผิวที่มีไวรัสอยู่ หรือการติดเกิดจากละอองของนม
สำหรับสหรัฐอเมริกานั้น ในปัจจุบันยังไม่มีการตรวจภูมิต้านทานต่อไวรัส H5N1 (serology testing) ในคนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพื่อที่จะประเมินจำนวนคนของคนที่ได้สัมผัสกับไวรัส H5N1 มาแล้วถึงแม้ว่าบางคนอาจไม่มีอาการป่วยเลย การตรวจดังกล่าวจะทำให้สามารถประเมินขอบเขตของการระบาดในคนได้ซึ่งจำเป็นต่อการแก้ไขและป้องกันการแพร่ระบาดในปัจจุบัน (จากหมายเหตุ 5)
แต่ นพ. นิราฟ ชาห์ (Dr. Nirav Shah) รองผู้อำนวยการของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกากล่าวในการแถลงข่าวว่าทั้งสามคนติดไวรัสจากการทำงานใกล้ชิดกับวัวที่ติดเชื้อ และทั้งสามคนไม่ได้แพร่เชื้อต่อไปยังคนอื่นๆ แสดงว่าไวรัส H5N1 ยังไม่สามารถแพร่เชื้อระหว่างคนได้ ดังนั้นความเสี่ยงต่อสาธารณสุขยังคงต่ำอยู่ อย่างไรก็ตาม นพ. ชาห์ กล่าวว่า ทั้งสามกรณีแสดงถึงความเสี่ยงของคนที่ทำงานในฟาร์มวัวและสุขภาพของพวกเขาต้องได้รับการป้องกัน และเน้นว่าเราต้องตระหนักและระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่ควรตื่นตระหนก [6]
ผู้ที่ติดไวรัส H5N1 ทั้งสามคนได้รับการรักษายาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่าทามิฟลู (Tamiflu) และสมาชิกครอบครัวของผู้ที่ติดเชื้อได้รับการติดตามดูอาการโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอยู่และยังไม่มีสมาชิกครอบครัวคนใดที่มีอาการป่วย
ตั้งแต่ปีคศ. 1997 จนถึงเดือนธันวาคม 2023 มีคน 902 คนจาก 23 ประเทศติดไวรัส H5N1 สายพันธุ์ต่างๆ และอัตราคนเสียชีวิตสะสมมากกว่า 50% ความรุนแรงของการติดเชื้อขึ้นอยู่กับลักษณะทางพันธุกรรมของไวรัสที่เกี่ยวข้อง กรณีการติดเชื้อเกือบทั้งหมดมาจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย หรือการไปตลาดค้าสัตว์ปีก ส่วนการแพร่/ติดเชื้อระหว่างคนนั้นเป็นสิ่งที่พบน้อยมากและไม่ใช่การแพร่เชื้อที่สามารถคงอยู่ได้เองโดยที่ไม่ต้องมีสัตว์อื่นแพร่เชื้อให้ กรณีการแพร่เชื้อระหว่างคนเกิดขึ้นน้อยมากและเกิดภายในครอบครัวเนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นเวลาที่ต่อเนื่องและไม่มีการป้องกันใดใด [7]
ภูมิภาคเอเซียเป็นพื้นที่หนึ่งของโลกที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส H5N1 ตั้งแต่เป็นปีคศ. 1997 ที่ไวรัสถูกระบุเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมาเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้มีกรณีการติดไวรัส H5N1 ในคนรวมถึงประเทศไทยด้วย จำนวนการติดเชื้อ H5N1 ในเอเซียคิดเป็น 82% ของกรณีการติดเชื้อในคนโดยไวรัส H5N1 ของทั้งโลก และอัตราการเสียชีวิตของคนที่ติดไวรัส H5N1 ในเอเซียคิดเป็น 90% ของการเสียชีวิตจากไวรัส H5N1 ของทั้งโลก [8]
เท่าที่ผ่านมาข้อมูลเกี่ยวกับระบาดของไวรัส H5N1 ที่เผยแพร่แก่สาธารณชนมีจำกัดมาก ทำให้ผู้ที่ติดตามเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ผิดหวังกับศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคที่เป็นหน่วยงานหลักเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร. ริค ไบรท์ (Dr. Rick Bright) ผู้บริหารของ Bright Global Health กล่าวว่าหน่วยงานของรัฐไม่มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับพันธุกรรมของไวรัสนี้ให้แก่องค์กร/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกล่าวว่าการทำงานที่ไม่โปร่งใสและทันการณ์เช่นนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้การระบาดระดับใหญ่/ทั่วโลกหรือแพนเดมิกเกิดขึ้น
ถึงแม้ว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของไวรัส H5N1 จะมีความมั่นใจว่าความเสี่ยงของไวรัส H5N1 ต่อคนยังต่ำอยู่ แต่องค์การอนามัยโลกพิจารณาว่าการระบาดของไวรัส H5N1 เป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง นพ. เจเรมี ฟาร์ราร์ (Dr. Jeremy Farrar) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่าการระบาดนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างใหญ่หลวงเพราะเป็นการระบาดระดับโลก (หรือแพนเดมิก) ของสัตว์ที่เริ่มด้วยเป็ดและไก่ติดเชื้อ ตามด้วยการติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และในขณะนี้ไวรัสนี้เกิดวิวัฒนาการที่ทำให้มันสามารถทำให้คนติดเชื้อได้ด้วย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัส H5N1 สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ แต่นพ. ฟาร์ราร์ เน้นว่าในอดีตที่ผ่านมาอัตราการเสียชีวิตในคนที่ติดเชื้อไวรัส H5N1 นั้นสูงมากทั้งนี้เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนี้
เช่นเดียวกับดร. ไบรท์ นพ. ฟาร์ราร์เรียกร้องให้มีเพิ่มการเฝ้าระวังติดตามการระบาดเพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะต้องรู้ว่าการติดเชื้อในคนมีจำนวนเท่าไร เพราะว่าเป็นช่วงเวลาที่ไวรัสกำลังปรับตัวเองและหาเจ้าภาพใหม่ที่จะติดเชื้อและขยาย/แพร่พันธุ์ของมันต่อๆไป นอกจากนั้นแล้วประเทศต่างๆจะต้องร่วมมือกันในการวินิจฉัยคนที่ติดเชื้อ
______________________________
[1] Bird Flu Is Infecting More Mammals. What Does That Mean for Us? โดย Apoorva Mandavilli และ Emily Anthes เมื่อ 22 เมษายน 2567 ใน https://
www.nytimes.com/2024/04/22/health/birdflu-marine-mammals.html
[2] จาก Emergence and Evolution of H5N1 Bird Flu โดย https://www.cdc.gov/flu/avianflu/2 communication-resources/bird-flu-origininfographic.
html#:~:text=In 1996, highly pathogenic avian,6 deaths) in Hong Kong. และ The New York Times ในหมายเหตุ 1
[3] จาก Current H5N1 Bird Flu Situation in Dairy Cows เมื่อ 31 พฤษภาคม 2567 ใน https://www.cdc.gov/flu/avianflu/
mammals.htm#anchor_1646853078680
[4] จาก Scientists tracking bird flu in cows and milk want answers to these 4 questions โดย Will Stone เมื่อ 26 เมษายน 2567 ใน https://www.npr.org/
sections/health-shots/2024/04/26/1247479100/bird-avian-flu-cows-cattle-milk-virus-unanswered-questions
[5] จาก Why the Human Case of Bird Flu With Respiratory Symptoms Is Concerning โดย Rick Bright เมื่อ 2 มิถุนายน 2567 ใน https://
www.nytimes.com/2024/06/02/opinion/bird-flu-case-respiratory.html
[6] จาก Bird Flu Has Infected a Third U.S. Farmworker โดย Apoorva Mandavilli เมื่อ 30 พฤษภาคม 2567 ใน https://www.nytimes.com/2024/05/30/
health/bird-flu-infection-farmworker.html
[7] จาก Technical Report: Highly Pathogenic Avian Influenza A(H5N1) Viruses เมื่อ 29 ธันวาคม 2566 ใน https://www.cdc.gov/flu/avianflu/spotlights/
2022-2023/h5n1-technical-report_december.htm
[8] จาก A(H5N1) Virus Evolution in South East Asia โดย RA Gutiérrez และคณะ เมื่อเดือนธันวาคม 2009 ใน https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/
articles/PMC3185531/