ในยุค “ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่”การเปิดเผยสถานภาพยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

ในยุคของ U=U หรือ “ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่” สำหรับผู้มีเอชไอวีในสหรัฐอเมริกาการเปิดเผยสถานภาพการมีเอชไอวียังเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนอยู่ ในเวปไซต์ nam aidsmap มีบทความสรุปผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เผยแพร่ในวารสาร Culture, Health and Sexuality[1]

การศึกษาดังกล่าวนำโดย แกรนท์ รัฟท์ (Grant Roth) และเพื่อนร่วมงานจากมหาวิทยาลัยเอมอรี (Emory University) สหรัฐอเมริกา ทีมวิจัยกล่าวว่าปัจจัยหลักที่ชายมีเพศกับชายซึ่งเป็นผู้มีเอชไอวีที่ได้รับการรักษาที่ดีจนตรวจเอชไอวีไม่พบ คำนึงถึงเมื่อเปิดเผยสถานะเอชไอวีของตนต่อคู่เพศสัมพันธ์ได้แก่ “ความรู้สึกเกี่ยวกับข้อผูกมัด” (sense of obligation) “การเปิดเผยสถานภาพที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” (situational disclosure) และ “ความรับผิดชอบของคู่เพศสัมพันธ์” (partner responsibility) และปัจจัยอื่นที่พวกเขาคำนึงถึงเมื่อตัดสินใจถึงการเปิดเผยสถานภาพเอชไอวีของพวกเขาได้แก่ไม่เจอ เท่ากับไม่แพร่ (U=U) กฏหมายที่ลงโทษเกี่ยวกับเอชไอวี (HIV criminalisation laws) และการหาคู่เพศสัมพันธ์ออนไลน์

ในสหรัฐอเมริกา 70% ของชายเกย์ที่มีเอชไอวีและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศที่มีเอชไอวีเป็นผู้ที่สามารถควบคุมเอชไอวีในเลือดให้อยู่ต่ำจนวัดไม่ได้ภายในหกเดือนหลังการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ชายเหล่านี้ไม่สามารถแพร่เอชไอวีไป ยังคู่เพศสัมพันธ์ของตนได้มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจต่อการพูดคุยเกี่ยวกับสถานภาพเกี่ยวกับเอชไอวีของตนเอง อย่างไรก็ตามการศึกษาที่มีอยู่ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลเน้นผู้ชายที่ไม่สามารถควบคุมเอชไอวีให้อยู่ต่ำจนวัดไม่ได้หรือเป็นการศึกษาที่ทำก่อนที่ข้อความ “ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่” (U=U) จะแพร่หลายไปทั่วโลก การศึกษาโครงการใหม่นี้พยายามที่จะทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆทั้งปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการเปิดเผยข้อมูลของชายเกย์ที่ไม่สามารถตรวจพบเอชไอวีได้ในสหรัฐอเมริกา

ภาพโดย Domizia Salusest ใน nam aidsmap

ทีมวิจัยทำการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างทางซูม (Zoom) กับชายเกย์ที่มีเอชไอวีที่มีเอชไอวีต่ำมากจนวัดไม่ได้ในเดือนสิงหาคม 2020 เพื่อสำรวจว่าพวกเขาชั่งน้ำหนักระหว่างปัจจัยด้านการรับรู้ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และปัจจัยด้านโครงสร้างในการตัดสินใจที่จะบอกสถานภาพเอชไอวีของพวกเขาในบริบทของการมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างไร

การศึกษาคัดเลือกผู้เข้าร่วมการวิจัยจากทุกภูมิภาคของประเทศ อายุของผู้เข้าร่วมการวิจัยอยู่ระหว่าง 23 ถึง 62 ปี (อายุ เฉลี่ย 38 ปี) และระยะเวลาตั้งแต่การวินิจฉัยว่ามีเอชไอวีอยู่ระหว่าง 2 ถึง 34 ปี (เฉลี่ย 12 ปี) ผู้เข้าร่วมการวิจัยประกอบด้วย คนผิวขาว 11 คน คนผิวดำ 2 คน ชาวลาตินอเมริกัน 3 คน ชาวอเมริกันอินเดียน 1 คน และชาวเชื้อชาติผสม 3 คน

การวิเคราะห์เริ่มต้นด้วยโมเดลที่พัฒนาขึ้นสำหรับการศึกษาโครงการหนึ่งที่เผยแพร่ผลเมื่อสิบปีก่อน การวิจัยนั้นประเมิน ปัจจัยเกี่ยวกับการรับรู้สองปัจจัยคือผลของการเปิดเผยสถานภาพและความเชื่อเกี่ยวกับคุณธรรม และปัจจัยเกี่ยวกับบริบท 3 ปัจจัยได้แก่ สมมติฐานเกี่ยวกับเอชไอวีของคู่เพศสัมพันธ์ สถานที่ของกิจกรรมทางเพศ และพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ รัฟท์ และเพื่อนร่วมงานได้ระบุปัจจัยใหม่อีกสามประการที่มีอิทธิพลต่อการเปิดเผยสถานภาพเอชไอวีในชายเกย์ที่ไม่สามารถ ตรวจพบเอชไอวีได้คือความรู้สึกเกี่ยวกับข้อผูกมัด การเปิดเผยสถานภาพที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความรับผิดชอบของ คู่เพศสัมพันธ์ในกระบวนการเปิดเผยสถานภาพ

ความรู้สึกเกี่ยวกับข้อผูกมัด

การเปิดเผยสำหรับความยินยอมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เข้าร่วมการวิจัยหลายคน บางคนรู้สึกว่ามันเป็น “เรื่องที่ถูกต้องตาม จริยธรรม” หรือ “สิ่งที่ถูกต้อง” ที่จะเปิดโอกาสให้คนอื่นให้ความยินยอมต่อการมีเพศสัมพันธ์โดยที่รู้ถึงสถานภาพเอชไอวี ของพวกเขา ผู้ตอบเหล่านี้ต้องการ “ให้ทางเลือกแก่ผู้อื่น” ที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่มีเมื่อได้รับเชื้อเอชไอวี

ผู้ตอบกลุ่มนี้บางคนรู้สึกว่าคู่เพศสัมพันธ์ “สมควรที่จะได้รู้” การบอกคู่เพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่หลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดและความ ละอาย หลีกเลี่ยงความรู้สึกขัดแย้งภายในและเพื่อความสงบสุขภายในถึงแม้ว่าพวกเขารู้ว่าไม่สามารถแพร่เอชไอวีได้ เรื่อง นี้เป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่งหากพวกเขาคิดว่าความสัมพันธ์ระยะยาวมีความเป็นไปได้

แต่บางคนรู้สึกว่า “ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่” หรือ U=U ลบล้างข้อผูกมัดนี้ไปก่อนแล้ว พวกเขาคิดว่าการบอกคนอื่นเป็นเรื่องที่ ไม่จำเป็น ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งอายุ 24 ปีและได้รับการวินิจฉัยว่ามีเอชไอวีเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมากล่าวว่า “ผมไม่เห็นว่าจะต้องคุยเกี่ยวกับ เรื่องนี้ไปทำไม ถ้าบุคคลนั้นที่ตรวจไม่พบรู้แล้วว่าพวกเขาตรวจไม่พบ รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถแพร่เชื้อได้”

เหตุผลต่างๆของการไม่พูดเรื่องนี้เชื่อมโยงกับความเป็นส่วนตัวและการหลีกเลี่ยงการถูกตีตรา ผู้เข้าร่วมการวิจัยเหล่านี้มอง ว่าเอชไอวีเป็นข้อมูลส่วนตัวและใช้การไม่เปิดเผยสถานภาพในการป้องกันตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธ การถูก ตัดสิน และการถูกเหมารวม

การเปิดเผยสถานภาพที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

สำหรับผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวนหนึ่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับการเปิดเผยสถานภาพแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่พวกเขาอยู่ ความใกล้ชิดทางอารมณ์ ความหลากหลายของความรู้เรื่องเอชไอวี การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย หรือวิธีที่พวกเขาได้พบกับคู่เพศสัมพันธ์ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา

ความใกล้ชิดทางอารมณ์กับคู่เพศสัมพันธ์เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจของพวกเขา สิ่งที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยพิจารณาเมื่อพูดถึงความใกล้ชิดทางอารมณ์ของความสัมพันธ์หนึ่งได้แก่ความเข้มข้นและความยาวนาน และผู้เข้าร่วมการวิจัยมักจะพูด คุยเรื่องเอชไอวีกับคนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยเพียงครั้งเดียว[คู่เพศสัมพันธ์ชั่วคราว]น้อยกว่าคนที่มีโอกาสพบกันอีก ในความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับความรักใคร่[หรือความสัมพันธ์แบบโรแมนติก]การเปิดเผยสถานภาพถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ “เป็นจริง” และ ‘ซื่อสัตย์’ ที่ต้องทำ

ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งที่อายุ 36 ปีและได้รับการวินิจฉัยว่ามีเอชไอวีเป็นเวลา 18 ปีมาแล้วกล่าวว่า “หากเป็นการสนทนาที่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์… การเปิดเผยสถานภาพเป็นสิ่งสำคัญเพราะมันจะเป็นสิ่งที่จะยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณต่อ ไป… แต่ในการคบหากันสั้นๆที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น เรื่องนี้มีความสำคัญน้อยมากในบริบทของเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ มัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตรวจไม่พบ… ซึ่งเป็นพื้นที่สีเทามากและยุ่งมาก…”

สถานที่ของกิจกรรมทางเพศเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่พิจารณา ผู้เข้าร่วมการวิจัยมีแนวโน้มต่ำที่จะเปิดเผยสถานภาพในพื้นที่ทาง ภูมิศาสตร์ที่พวกเขาคิดว่าความรู้และการศึกษาเกี่ยวกับเอชไอวีอยู่ในระดับต่ำ พวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงการ “ให้บท เรียน” เกี่ยวกับเอชไอวีกับคนที่พวกเขาเปิดเผยสถานภาพหรือหลีกเลี่ยงการอยู่ใน “สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง” ที่เกี่ยวข้องกับการเอาผิดทางกฏหมายเกี่ยวกับเอชไอวี

สถานที่ที่ผู้ใช้บริการสามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เอื้อต่อการพูดคุยเกี่ยวกับเอชไอวี การไม่บอกผู้อื่น ในสภาพแวดล้อมนี้ถือว่า “ไม่เป็นไร” เมื่อไม่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เอชไอวี ผู้เข้าร่วมการวิจัยเอ่ยถึงกรณีที่อยู่ในช่วงที่ ร้อนแรง ไม่รู้จักคู่เพศสัมพันธ์ และมีการใช้แอลกอฮอล์หรือยาเสพติด

ผู้เข้าร่วมการวิจัยอายุ 43 ปีและได้รับการวินิจฉัยมาแล้ว 19 ปีย้อนถามว่า “คุณคิดว่าผมจะบอกคนที่โรงอาบน้ำงั้นหรือ? ไม่ใช่เลย… ผมคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม… เราไปที่นั่นเพื่อเป้าหมายอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าเราได้ใช้เวลาพอแล้วในแง่ ของการศึกษาที่เราควรรู้เกี่ยวกับการไปคลับทางเพศและความเสี่ยงที่นำมา… เราไปที่นั่นเพื่อทำสิ่งที่เราต้องการทำแล้วก็ กลับ… ผมคิดว่าความคิดของการไปคลับทางเพศหรือโรงอาบน้ำแตกต่างไปจากการคบหากันในช่วงสั้นๆ”

สำหรับผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวนหนึ่งการเปิดเผยสถานภาพน้ันขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของกิจกรรมทางเพศ บางคนมอง ว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางปากว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” และไม่จำเป็นต้องเปิดเผยสถานภาพ ในขณะที่การมีเพศสัมพันธ์ทาง ทวารหนักที่ไม่สวมถุงยางถือว่ามีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญทางจริยธรรมที่จะเปิดเผยสถานภาพและให้ทางเลือกแก่คู่เพศสัมพันธ์

ผู้เข้าร่วมการวิจัยอายุ 23 ปีและได้รับการวินิจฉัยมาแล้ว 4 ปีกล่าวว่า “ถ้าเราจะ… ทำออรัลเซ็กซ์ให้กันและกัน ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเราจะทำกันทางทวารหนักจริงๆแล้วล่ะก็… ผมคิดว่า[สถานะเอชไอวี]เป็นเรื่องที่น่าจะต้องพูดคุยกัน”

เรื่องเกี่ยวกับเอชไอวีมักเป็นประเด็นการสนทนาของแอพพลิเคชันที่เกี่ยวกับการคบหากันแบบสั้นๆเพื่อมีเพศสัมพันธ์ สำหรับบางคนนั้นการเปิดเผยสถานะเอชไอวีในข้อมูลส่วนตัว[หรือโปรไฟล์]ของพวกเขานั้น “ง่ายกว่า” และหลีกเลี่ยง “การ พูดคุยที่น่าอึดอัดใจ”- ผู้เข้าร่วมการวิจัยไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พวกเขาถูกปฏิเสธเนื่องจากมีเอชไอวีซึ่งเป็นการปกป้องสวัสดิภาพ ทางอารมณ์ของพวกเขา ผู้เข้าร่วมการวิจัยคนอื่นชอบใช้Åงfíชันแชทที่การสนทนามักจะถูกกระตุ้นด้วยการอภิปรายเกี่ยวกับ ความชอบทางเพศ การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยกว่า และ/หรือสุขภาพทางเพศ

การไม่บอกใครเกี่ยวกับสถานะเอชไอวีในข้อมูลส่วนตัว หรือการถ่วงเวลาของการสนทนาในแชทเป็นวิธีที่ผู้เข้าร่วมการวิจัย บางคนใช้ในการจำกัดและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลนี้ การตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการเปิดเผยสถานภาพในแอพพลิเคชันเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการให้ทางเลือกแก่ผู้ใช้รายอื่น หลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธหรือการถูกตีตรา และเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะแชร์สถานะของตนเมื่อได้รับการยืนยันว่าจะมีเพศสัมพันธ์กันเท่านั้น

ความรับผิดชอบของคู่เพศสัมพันธ์

ผู้ให้สัมภาษณ์บางคนกล่าวว่าคู่เพศสัมพันธ์ควรถาม (หากพวกเขาต้องการทราบ) แทนที่จะอาศัยผู้ที่มีเอชไอวีให้เป็นคนเริ่มการสนทนาเหล่านี้ ผู้เข้าร่วมการวิจัยหลายคนเปิดเผยสถานภาพของเขาเมื่อถูกถาม แต่ไม่ให้ข้อมูลไว้ก่อน พวกเขาคิดว่าการที่คู่เพศสัมพันธ์ไม่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้หมายความว่าพวกเขาเต็มใจที่จะรับความเสี่ยง (ซึ่งในกรณีของพวกเขาความ เสี่ยงดังกล่าวไม่มีอยู่จริง)

ผู้ให้สัมภาษณ์อายุ 48 ปีที่ได้รับการวินิจฉัยเมื่อ 20 ปีมาแล้วกล่าวว่า “ผมคิดว่าเนื่องจาก[ผม]ตรวจไม่เจออยู่แล้ว ดังนั้นมัน ควรจะขึ้นอยู่กับบุคคลอื่นที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้… เราไม่จำเป็นต้อง[เปิดเผย]เนื่องจากไม่มีอันตรายที่จะพูดถึงใช่ไหม ดังนั้นหากอีกฝ่ายต้องการถามคำถามก็ควรขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะต้องถามคำถามนั้น”

ผู้เข้าร่วมการวิจัยคนอื่นๆกล่าวว่าในทางทฤษฎีการพูดกันเกี่ยวกับเอชไอวีควรเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน แต่ผู้เข้าร่วมการ วิจัยเหล่านี้รู้สึกว่าเนื่องจากสถานะของพวกเขาและจากมุมมองเกี่ยวกับการตีตรา พวกเขาแบกรับภาระในการบอกผู้อื่น ใน ความเป็นจริงการเอาผิดทางกฎหมายว่าด้วยเอชไอวีทำให้คู่เพศสัมพันธ์ที่มีเอชไอวีมีภาระหน้าที่ต่อการเปิดเผยสถานภาพ

ผู้เข้าร่วมการวิจัยอายุ 59 ปี และได้รับการวินิจฉัยเมื่อ 34 ปีมาแล้วอธิบายว่า “ถ้าผมกำลังพูดถึงโลกที่สมบูรณ์แบบ มันเป็น ความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องพูดคุยกันเรื่องนี้[สถานะเอชไอวี] และคุณปกป้องตัวเองและเป็นความรับผิดชอบของอีกฝ่ายที่จะต้องปกป้องตัวเขาเอง แต่ผมไม่คิดว่า…สำหรับเกย์จำนวนมาก…ว่านั่นเป็นวิธีที่ใช้ได้ผล ผมคิดว่าความคาดหวังคือบุคคลที่มีเอชไอวีต้องเปิดเผย…. และผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องทั่วไปในสังคมด้วย”

ผู้เข้าร่วมการวิจัยบางคนตระหนักว่ากฎหมายมองว่าผู้มีเชื้อเอชไอวีเป็น “อันตรายทางชีวภาพ” ถึงแม้ว่าในสถานการณ์ที่ ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อก็ตาม บางคนก็บอกกับคนอื่นๆเพราะ “กฎหมายที่เอาโทษทางอาญายังมีอยู่อย่างเป็น ทางการ” แต่สำหรับบางคนนั้นไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยเพราะสถานะภาพที่ตรวจไม่เจอของพวกเขา

ผู้เข้าร่วมการวิจัยอายุ 23 ปีและได้รับวินิจฉัยมาเป็นเวลา 4 ปีแล้วกล่าวว่า “ผมไม่ควรกังวลว่าจะติดคุกถ้ารู้ว่าจะไม่แพร่ไวรัส ไปให้ใคร เพราะเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่ที่ยินยอมกัน คุณรู้ว่าผมหมายถึงอะไรใช่ไหม?”

สรุป การวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสนทนาที่มีความละเอียดอ่อนเฉพาะในการใช้แอพพลิเกชันในการนัดพบกัน เพื่อมีเพศสัมพันธ์ การเอาผิดทางกฏหมายอาญาเกี่ยวกับเอชไอวี และตีตราในเชิงโครงสร้าง การวิจัยนี้เสนอเหตุผลสำหรับ การยกเลิกการเอาผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับเอชไอวี การขยายการให้ความรู้/การศึกษาเกี่ยวกับเอชไอวี การเพิ่มความ ตระหนักและการยอมรับเกี่ยวกับ “ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่” ชายเกย์ที่มีเอชไอวีในระดับที่ตรวจไม่พบยังคงต้องแบกภาระกับความไม่เชื่อมโยงระหว่างการรับรู้ของกฏหมายต่อความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีและความจริงที่ว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพหมายถึงระดับของเอชไอวีในเลือดของพวกเขาต่ำมากจนพวกเขาไม่สามารถแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้

_____________________________

[1] In the era of U=U, disclosure still feels like a ‘grey messy area’ for gay men living with HIV in the US โดย José Menjía Asserias เมื่อ 15 สิงหาคม 2565 ใน https://www.aidsmap.com/news/sep-2022/era-uu-disclosure-still-feels-grey-messy-area-gay-men-living-hiv-us