สหราชอาณาจักรแนะนำยาสแตตินสำหรับผู้มีเอชไอวี

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

ข่าวใน nam aidsmap กล่าวว่าผู้เชี่ยวชาญด้านเอชไอวีของสหราชอาณาจักรแนะนำให้ผู้มีเอชไอวีที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปให้ใช้ยาสแตติน[1]

ภาพจาก Drug Discovery Word DDW

สมาคมเอชไอวีของอังกฤษ [British HIV Association (BHIVA)] แนะนำให้ทุกคนที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี และมีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรกินยากลุ่มสแตตินเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีระดับคอเลสเตอรอลไม่สูงหรือมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจต่ำก็ตาม

ข้อแนะนำใหม่นี้เป็นข้อแนะนำแรกของโลกที่ตอบรับผลการวิจัยรีพรีพ (REPRIEVE) ที่ถูกนำเสนอในการประชุมสมาคมเอดส์นานาชาติด้านวิทยาศาสตร์เอชไอวี (the International AIDS Society Conference on HIV Science) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินยาพิทาวาสแตติน (pitavastatin) ทุกวันช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ร้ายแรง เช่น หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน หรือ ลดความจำเป็นที่ต้องรักษาโรคหัวใจผิดปกติที่รุนแรงลงได้ 35%ในผู้มีเอชไอวี  แต่การวิจัยนี้คัดเลือกเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางต่อโรคหัวใจร้ายแรงภายในสิบปีเท่านั้น

การวิจัยรีพรีพถูกออกแบบขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่ายากลุ่มสแตตินช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้มีเอชไอวีหรือไม่เนื่องจากเอชไอวีเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ คอเลสเตอรอลสูง หรือความดันโลหิตสูง ถึงแม้ว่าผู้มีเอชไอวีจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นสองเท่า แต่การคำนวณความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ใช้สำหรับประชากรทั่วไปอาจประเมินความเสี่ยงของโรคสำหรับผู้มีเอชไอวีต่ำไป

สแตตินเป็นกลุ่มยาที่ป้องกันการเกิดโรคหัวใจซึ่งทำงานโดยการลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (LDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิด ‘ไม่ดี’ ที่สะสมในหลอดเลือดแดงและนำไปสู่การอุดตันที่ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ยากลุ่มสแตตินยังส่งผลต่อสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดด้วยการลดการอักเสบและภาวะอนุมูลอิสระที่เกินสมดุล รวมถึงขัดขวางการก่อตัวของลิ่มเลือดและทำให้เศษไขมันที่เกิดเป็นคราบเกาะผนังหลอดเลือดที่เรียกว่าพราค (plaque) ให้คงที่ไม่เพิ่มมากขึ้น

ในสหราชอาณาจักรไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มสแตตินสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในเวลา 10 ปีต่อโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำกว่า 10% ยกเว้นคนที่มีภาวะการทำงานของไตลดลงอย่างมาก หรือเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ หรือในกรณีที่ปัจจัยอื่นที่อาจทำให้การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป

จากผลการวิจัยรีพรีพทำให้สมาคมเอชไอวีของอังกฤษ (BHIVA) ทำการทบทวนหลักฐานต่างๆอย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดกับการใช้ยากลุ่มสแตตินในผู้มีเอชไอวี  การทบทวนสรุปว่าควรเสนอยากลุ่มสแตตินให้กับทุกคนที่มีเอชไอวีที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามแบบองค์รวมในการลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

คำแนะนำของสมาคมเอชไอวีของอังกฤษสำหรับการใช้ยากลุ่มสแตตินในผู้มีเอชไอวี

สมาคมเอชไอวีของอังกฤษแนะนำว่าผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรได้รับยากลุ่มสแตติน โดยไม่คำนึงถึงระดับไขมันหรือความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยประมาณ ผู้ที่มีเอชไอวีที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงในระยะเวลา 10 ปี เท่ากับ 5% ควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญในการรักษาด้วยยากลุ่มสแตตินก่อนคนกลุ่มอื่น

ยาตัวแรกที่เลือกสำหรับการรักษาด้วยสแตตินในผู้มีเอชไอวีควรเป็นพิทาวาสแตติน (pitavastatin) 4 มก.ต่อวันเมื่อยานี้มีวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักร (ยาดังกล่าวที่เป็นยาต้นตำรับไม่มีจำหน่ายในสหราชอาณาจักร แต่ยาสามัญทั่วไป (หรือ generic drug) จะมีวางจำหน่ายในปีคศ. 2024) แต่สามารถใช้ยาอะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) 20 มก. วันละครั้งเป็นทางเลือกได้  สำหรับผู้ที่ไม่สามารถทนต่อยากลุ่มสแตตินได้ แพทย์ควรสั่งจ่ายยาอีเซทิไมบ์ (ezetimibe)

ผู้ที่กินยากลุ่มสแตตินชนิดสมรรถภาพต่ำ (low-intensity statin) อยู่แล้ว (ซึ่งโดยปกติคือปราวาสแตติน [pravastatin] ในขนาด 10 มก. – 20 มก. ต่อวันสำหรับผู้มีเอชไอวี) ควรเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มสแตตินที่มีสมรรถภาพปานกลาง (moderate-intensity statin) (ยากลุ่มสแตตินในขนาดที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือแอลดีแอล (LDL) ลง 30% – 49%) โดยมีเงื่อนไขว่าร่างกายสามารถทนยาได้

การสั่งจ่ายยาสแตตินควรจ่ายโดยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากที่คลินิกเอชไอวีจะต้องสื่อสารเหตุผลของการสั่งจ่ายยากลุ่มสแตติน แนวทางปฏิบัติของสมาคมเอชไอวีของอังกฤษจะรวมจดหมายสำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่เป็นแนวทางในการสั่งจ่ายยากลุ่มสแตตินสำหรับผู้ป่วยที่มีเอชไอวี และอธิบายคร่าวๆว่าคำแนะนำดังกล่าวสอดคล้องกับคำแนะนำของสถาบันดูแลสุขภาพของอังกฤษ (NICE) ในการสั่งจ่ายยากลุ่มสแตติน

นอกเหนือจากการแนะนำการใช้ยากลุ่มสแตตินแล้ว คลินิกเอชไอวีและแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปควรให้คำแนะนำและมีแผนภาพเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ การออกกำลังกาย โภชนาการ การควบคุมน้ำหนัก และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ

ถึงแม้ว่าพิทาวาสแตตินและอะทอร์วาสแตตินจะมีความเสี่ยงต่ำที่สุดที่จะเกิดปฏิกิริยากับยาต้านไวรัส แต่แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปควรตระหนักถึงคำแนะนำต่อไปนี้เมื่อเริ่มให้ยากลุ่มสแตตินเหล่านี้กับผู้มีเอชไอวีด้วย:

  1. สำหรับผู้ที่รับประทานยาอะทาซานาเวียร์ (atazanavir) หรือ อะทาซานาเวียร์/ริโทนาเวียร์atazanavir/ritonavir) ให้เริ่มยาพิทาวาสแตตินในขนาดต่ำสุดก่อนและค่อยๆเพิ่มขึ้น (เนื่องจากความเป็นไปได้ที่ระดับพิทาวาสแตตินจะเพิ่มสูงขึ้น) สมาคมเอชไอวีของอังกฤษกล่าวว่าหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการกระตุ้นเสริมด้วยยาอะทาซานาเวียร์เมื่อใช้อะทอร์วาสแตติน
  2. สำหรับผู้ที่กินยาริโทนาเวียร์ หรือ ดารูนาเวียร์ที่กระตุ้นด้วยโคบิซิสแตท (ritonavir – or cobicistat-boosted darunavir) หรือที่กระตุ้นเอลไวเทกราเวียร์ (elvitegravir) ให้เริ่มยาอะทอร์วาสแตติน (atorvastatin) ในขนาดยาที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และค่อยๆเพิ่มปริมาณยาขึ้นเป็นสูงสุด 40 มก. อย่างระมัดระวัง
  3. สำหรับผู้ที่รับประทานยาเอฟฟาไวเรนซ์ (efavirenz) และ อะทอร์วาสแตติน (atorvastatin) อาจจำเป็นต้องเพิ่มขนาดยาอะทอร์วาสแตติน ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของไขมันต่อการรักษาด้วยยากลุ่มสแตติน

ในแนวทางของสมาคมเอชไอวีของอังกฤษยังแนะนำว่าควรประเมินการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพื่อดูว่าเหมาะสมกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงหรือไม่ สมาคมเอชไอวีของอังกฤษยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงอะบาคาเวียร์ (abacavir) และโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (lopinavir/ritonavir)ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ สมาคมเอชไอวีของอังกฤษเลือกที่จะใช้อะทาซานาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (atazanavir/ritonavir) มากกว่าดารูนาเวียร์ ที่กระตุ้นด้วยยากลุ่มโปรติเอสอินฮิบีเตอร์ (protease inhibitor)

_________________

[1] UK experts recommend statins for all people with HIV aged 40 and over โดย Keith Alcorn เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2566 ใน https://www.aidsmap.com/news/nov-2023/uk-experts-recommend-statins-all-people-hiv-aged-40-and-over