การตอบสนองต่อโรคระบาดระดับโลกต้องมีการลดอันตราย ความเท่าเทียม และความยุติธรรมเป็นศูนย์กลาง

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

เวปไซต์ Harvard Public Health สัมภาษณ์ พญ. โมนิกา คานธี (Dr. Monica Gandhi) เกี่ยวกับการตอบสนองต่อการระบาด ระดับโลก (pandemic) ของโควิด-19 ที่นำเอาบทเรียนจากการทำงานด้านเอชไอวีมาใช้ ดังที่สรุปในด้านล่าง [1]

พญ. โมนิกา คานธี ภาพโดยมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก ใน The BodyPro

แนะนำพญ. โมนิกา คานธี

พญ. โมนิกา คานธี เป็นแพทย์และศาสตราจารย์แพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก และผู้อำนวย การศูนย์แกลดสโตนสำหรับการวิจัยเอดส์ของมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก (UCSF Gladstone  Center  for AIDS Research) และผู้อำนวยการด้านแพทยศาสตร์ของวอร์ด 86 ซึ่งเป็นคลินิกเอชไอวีของมหาวิทยาลัยการวิจัยของพญ. คานธี เน้นเอชไอวีกับผู้หญิงรวมถึงความแตกต่างระหว่างหญิงกับชายในการตอบสนองต่อยาต้านไวรัสเอชไอวีและการ รักษา พญ. คานธีจบการศึกษาด้านแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้รับปริญญาโทสาธารณสุขในด้าน ระบาดวิทยาและชีวสถิติจากมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ [2]

ก่อนการระบาดของโควิด-19 โมนิกา คานธีเป็นนักวิจัยด้านเอชไอวีที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ในซานฟรานซิสโก เมื่อการระบาดของโควิดลุกลามไปทั่ว พญ. คานธีจะปรากฏอยู่ในทุกที่ เธอมักจะมีความคิดเห็นที่ไม่เป็น ที่นิยมเพราะความเห็นของเธอขัดแย้งกับความเห็นพ้องของคนส่วนมากในด้านสาธารณสุขที่แพร่หลายในขณะนั้น เธอ วิพากษ์วิจารณ์ข้อจำกัดของการดูแลรักษาทางการแพทย์ตามปกติที่เป็นการตรวจผู้ป่วยโดยตรง (in-person medical care) และเธอเปิดให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยตลอดช่วงของการระบาดใหญ่ เธอแย้งว่าการปิดสวนสาธารณะและชายหาดกลาง แจ้งส่งผลเสียมากกว่าผลดี และวิพากษ์วิจารณ์การปิดโรงเรียนที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน จากงานของเธอในการรักษาผู้ป่วย เอชไอวีที่เป็นประชากรกลุ่มเปราะบาง เธอทำการรณรงค์ตั้งแต่ตอนต้นของการระบาดต่อการตอบสนองต่อโรคระบาดโดย ให้ความสำคัญกับความต้องการของคนยากจน คานธีกล่าวว่าการสนับสนุนเรื่องโควิด-19 ของเธอมีพื้นฐานมาจากการลด อันตราย ซึ่งเป็นหลักการที่สนับสนุนแนวทางของเธอในด้านการแพทย์และการสาธารณสุข

ในอดีต เมห์ดี ฮาซาน (Mehdi Hasan) นักข่าวการเมืองจากโทรทัศน์ MSNBC ขนานนามพญ. คานธีว่าเป็น “ผู้หญิงที่ผิด ที่สุดเกี่ยวกับโรคโควิด-19” พญ. คานธีได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกสำหรับหนังสือเล่มใหม่ของเธอ Endemic: A Post-Pandemic Playbook (โรคระบาดเฉพาะถิ่น: คู่มือหลังการระบาดระดับโลก) ซึ่งวารสาร The Lancet เรียกหนังสือเล่มนี้ว่า “แหล่งข้อมูล ที่หยั่งรู้” สำหรับการจัดการกับโรคระบาด

คริสติน เมห์ตา (Christine Mehta) บรรณาธิการอาวุโสด้านสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคุยกับพญ. คานธี เกี่ยว กับสาเหตุที่การลดอันตรายควรเป็นศูนย์กลางด้านสาธารณสุข รู้สึกอย่างไรที่เธอถูกขับออกจาก “ชนเผ่า” ทางการเมืองของเธอ และสิ่งที่เธอคิดว่าจำเป็นต้องแก้ไขก่อนที่ประเทศจะเกิดการระบาดครั้งใหญ่ครั้งต่อไป บทสนทนานี้ได้รับการแก้ไขเพื่อ ความยาวที่เหมาะสมและความชัดเจน

เมห์ตา: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเขียนหนังสือ (Endemic) นี้?

คานธี: มีอยู่ช่วงหนึ่งมีคนขอให้ฉันเขียนบทเกี่ยวกับโควิด-19 สำหรับหนังสือเรียนเรื่องโรคติดเชื้อฉบับใหม่ที่มีผู้อ่านกัน อย่างแพร่หลายในปี 2024 ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “คัมภีร์ใบเบิลเรื่องโรคติดเชื้อ” ฉันส่งบทเกี่ยวกับวัคซีน การรักษาโรค และไวรัสวิทยาไปแล้วแต่พวกเขาก็ส่งกลับมาให้ฉัน พวกเขาบอกว่าต้องการให้ฉันพิจารณาว่านโยบายของการระบาดระดับ โลก เช่น การปิดโรงเรียน ความไม่เสมอภาคเกี่ยวกับการเข้าถึงวัคซีน และการขาดมาตรการลดอันตรายได้ทำร้ายผู้คน โดยเฉพาะเด็กๆอย่างไร บทนั้นจึงกลายเป็น “คู่มือ” ในโรคระบาดประจำถิ่น

เมห์ตา: คุณเป็นบุคคลสาธารณะที่ได้รับการพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากในช่วงที่เกิดโรคระบาด คุณไม่มีปัญหา ที่ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เลยตลอดช่วงของอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการเมืองฝ่ายซ้ายหรือการเมืองฝ่ายขวาก็ตาม คุณจัดการกับคำวิจารณ์เหล่านั้นได้อย่างไร และคุณคิดว่าหนังสือเล่มใหม่ของคุณช่วยให้จุดยืนของคุณชัดเจนขึ้นหรือไม่?

คานธี: จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องที่ยากมาก สามีของฉันเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อสามเดือนก่อนเกิดโรคระบาด ฉันรู้สึก โศกสลด ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว โดยอาชีพแล้วฉันคุ้นเคยกับการเป็นส่วนหนึ่งของชนเผ่าทางการเมือง ฉันอยู่ที่บอสตันเพื่อเรียน แพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  ฉันมาที่ซานฟรานซิสโกเพื่อประกอบวิชาชีพแพทย์  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าฉันมีความคิดทางการเมืองแบบก้าวหน้า [3] และฉันต้องการอาศัยอยู่ในเมืองที่ก้าวหน้า เป็นเมืองที่เน้นแนวทางปฏิรูปที่ฉันคิดว่าให้ความสำคัญต่อการลดอันตรายในด้านการแพทย์และการเมือง

ฉันคิดว่าใครก็ตามที่เป็นแพทย์ด้านโรคติดเชื้อย่อมเป็นคนที่หัวใจเป็นนักลดอันตรายอย่างแท้จริง เราเห็นโรคที่ติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ โรคที่ติดต่อจากการฉีดยา… ว่าไปแล้วการลดอันตรายเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปล่อยให้ผู้คนอยู่ตามลำพัง เราไม่ จำเป็นต้องบอกคนอื่นว่าต้องทำอะไร ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเอชไอวี การปิดซาวน่ากลายเป็นข้อถกเถียงกันเป็น อย่างมากในซานฟรานซิสโก เนื่องจากนโยบายดังกล่าวบอกกับผู้คนว่ามันมี “เพศสัมพันธ์ที่ไม่ดี” และ “เพศสัมพันธ์ที่ดี” ในฐานะแพทย์ ฉันไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของฉันที่จะบอกคนว่าต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร และฉันมาที่นี่เพื่อบอกคุณว่าจะอยู่ อย่างปลอดภัยได้อย่างไร มีถุงยางอนามัยและการรักษาและการป้องกัน

ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ก็คือเราสูญเสียเป้าหมายของเราไปโดยการไม่ให้ความสำคัญต่อการลดอันตรายในการ รับมือกับโควิด-19 พูดตามตรงแล้ว นโยบายที่ฉันวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือการปิดโรงเรียนของรัฐและผลกระทบด้านลบที่ มีต่อเด็กๆ นั่นคือสิ่งสำคัญที่ฉันเขียนถึง และมันเปิดโอกาสที่ทำให้ฉันถูกโจมตีมากมาย

ฉันคิดว่าการลดอันตรายเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ และของชุมชนแพทย์โรคติดเชื้อของฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันกำลัง สะท้อนมุมมองของชุมชนของฉัน เป็นเพียงแต่ว่ามีช่วงหนึ่งที่ฉันเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่วิพากษ์วิจารณ์การตอบสนองในช่วง แรกของชุมชนสาธารณสุขต่อการระบาดใหญ่นี้

ฉันหวังว่าผู้คนจะมอง [หนังสือเล่มนี้] ด้วยใจที่เปิดกว้าง เพราะฉันคิดว่าถ้าคุณอ่านมัน คุณจะเห็นว่ามันจะส่งเสริมการตอบ สนองต่อโรคระบาดที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม และการศึกษาเป็นอย่างมาก ฉันเชื่อว่าการ สาธารณสุขได้หันเหจุดสนใจไปจากหลักการของความเสมอภาค ความยุติธรรมทางสังคม และความไม่เสมอภาคทางการ ศึกษา และการสูญเสียการศึกษาที่จะมีผลอย่างไรต่อเด็กโดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์

เมห์ตา: ฉันอยากจะเจาะลึกอีกสักหน่อยว่าสาธารณสุขจัดการกับโรคต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อประชากรกลุ่มเปราะบางอย่าง ไม่เป็นสัดส่วนได้อย่างไร สำหรับฉันดูเหมือนว่าการลดอันตรายมีบทบาทน้อยลงในการตอบสนองด้านสาธารณสุขต่อโรค ทางเดินหายใจ เช่น โควิด-19 และวัณโรคในประเทศอื่นๆ มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติของระบบทางเดินหายใจของ โรคติดเชื้อบางชนิดที่เปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานของสาธารณสุขหรือไม่?

คานธี: เรื่องเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจคือคุณสามารถพูดได้เต็มปากว่า “โอ้ เราต้องล็อกดาวน์สังคมของเราเพราะ ใครๆก็สามารถเป็นโรคนั้นได้ เราทุกคนมีความอ่อนไหวพอๆกันเพราะมันอยู่ในอากาศ” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการแพร่ ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปีคศ. 1918 (พ.ศ. 2461) นั้นกลับเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม ในปีคศ. 1918 การล็อกดาวน์เกิดขึ้นไม่ นานนัก จริงๆแล้วพวกเขาใช้เวลาเพียงสองอาทิตย์กว่าก็รู้แล้วว่าเป็นระบบทางเดินหายใจ จากนั้นพวกเขาก็มุ่งเน้นไปที่การ

ระบายอากาศในอาคาร และทำกิจกรรมต่างๆมากมายกลางแจ้ง (หรือนอกบ้าน) ส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องก็คือสิ่งที่เมืองที่ ก้าวหน้าทำกับโรงเรียน นิวยอร์ก ชิคาโก และนิวเฮเวน ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลกลางให้ปิดโรงเรียน และเมืองเหล่านั้นกล่าว ว่า “ไม่มีทาง” ในเวลานั้น เด็ก 750,000 คนในนิวยอร์กซิตี้อาศัยอยู่ในตึกที่แบ่งห้องใช้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนรายได้ต่ำ และโรงเรียนเป็นสถานที่ที่เด็กเหล่านั้นได้รับอาหาร โรงเรียนเป็นสถานที่ที่เด็กเหล่านั้นจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นั้น แต่เป็นที่น่า เสียดายที่ในการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-19 มีสถานที่หลายแห่งที่โรงเรียนปิดนานเกินไป

เมห์ตา: คุณมีอะไรที่จะปิดท้ายบ้างไหม?

คานธี: ฉันมีมุมมองที่มีมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ซึ่งมุมมองนั้นเกิดจากสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากงานของฉันในฐานะนักวิจัยด้าน เอชไอวีว่าการลดอันตรายนั้นเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อสาธารณสุขของเราต่อโรคติดเชื้อต่างๆทั้งหมด ฉันต้องการออก ห่างจากความคิดที่ว่าตัวฉันอยู่ไกลจากกระแสหลัก เพราะจริงๆแล้วฉันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญคือเราต้อง รับทราบถึงอันตรายและภาระที่เกิดจากการล็อคดาวน์ การปิดโรงเรียน และนโยบายอื่น ๆในยุคการแพร่ระบาด โดยเฉพาะ อย่างยิ่งต่อคนยากจน

_________________

[1] Our next pandemic’s playbook ใน https://harvardpublichealth.org/policy-practice/monica-gandhi-harm-reduction-should-be-central-to-public- health/

[2] แนะนำโดยผู้แปลจากข้อมูลในเวปไซต์ของมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก

[3] ในหนังสือ Endemic: A Post-Pandemic Playbook พณ. คานธี ระบุอย่างชัดเจนว่าการเมืองของเธอเอนไปทางซ้ายของซ้าย โดยย่อการเมืองแบบก้าวหน้า (progressivism) เป็นการเมืองที่จะต้องการปรับปรุงสภาพของมนุษย์ให้ดีขึ้นโดยผ่านการปฏิรูปสังคมที่มีฐานจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่ และองค์กรทางสังคม