การรับมือกับโรคไข้ดิน

บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

ในฤดูฝนโรคติดเชื้อที่เป็นข่าวกันมากพอสมควรคือโรคไข้ดิน เวปไซต์ภาษาไทยมากมายมีข่าวเกี่ยวกับโรคนี้รวมถึงเวปไซต์ของสื่อมวลชนและโรงพยาบาลต่างๆ ในเวปไซต์ Medscape ของวันที่ 5 ตุลาคม 2566 มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันเพิ่งพบคนที่เป็นโรคนี้ในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก

ข่าวในเมดสเคป (Medscape) พาดหัวข่าวว่า “รับมือกับโรคเมลิออยโดสิสที่ร้ายกาจด้วยความรวดเร็วและการดูแลเฉพาะทาง” [1]

ภาพโดย Prostock-studio/shutterstock.com ใน nam aidsmap

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริการะบุว่าโรคเมลิออยโดสิส (melioidosis) เป็นโรคที่มีอาการเลียนแบบโรคอื่นได้แนบเนียนทำให้เกิดการสับสนในบางครั้งกับวัณโรคหรือโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ – และเป็นโรคที่มีความเสี่ยงสูง อาจจะมากถึงครึ่งหนึ่งของคนไข้ทั้งหมด – ที่จบลงด้วยการเสียชีวิต   

โรคไข้ดินเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเบอร์โคลเดอเรีย ซูโดมัลลิ (Burkholderia pseudomallei) ที่พบในภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง แบคทีเรียชนิดแกรมลบชนิดนี้ถูกตรวจพบในดินและน้ำในภูมิภาคอื่นๆด้วย 

พญ. แคเธอรีน เดอบอร์ด (Dr. Katherine DeBord) จากศูนย์โรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนแห่งชาติของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคบอกกับผู้สื่อข่าวของเมดสเคป (Medscape) ว่า   “เราพบผู้ป่วย 3 รายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ทั้งสามรายเกิดในเขตเดียวกันและเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่”  

นี่เป็นครั้งแรกที่พบแบคทีเรียชนิดนี้ในทวีปอเมริกาในพื้นที่ชายฝั่งอ่าว (Gulf Coast) ที่โมเดลการศึกษาสิ่งแวดล้อมทำนายว่าเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย บี ซูโดมัลลิ (B pseudomallei )

เชื้อถูกพัดขึ้นฝั่ง
ณ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าโรคเมลิออยโดสิสน่าจะแพร่กระจายไปมากกว่าจำนวนผู้ป่วยที่มีการรายงานมา 

การป่วยนี้หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าโรคของวีทมอร์ (Whitmore’s disease) เมื่อเร็วๆนี้ได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญมากต่อการเจ็บป่วย โดยประมาณว่ามีผู้ป่วย 165,000 รายทั่วโลกและมีผู้เสียชีวิต 89,000 รายในแต่ละปีทั่วโลก 

กรณีส่วนใหญ่ได้รับการวินิจฉัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียตอนเหนือ และในประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันจากการเพาะเชื้อมากที่สุด โดยมีผู้ป่วยประมาณ 2,500 คนที่ได้รับการวินิจฉัยในแต่ละปี   

ในการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับโรคเมลิออยโดสิสที่ใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบันเป็นการศึกษาระยะเวลา 30 ปีที่เมืองดาร์วิน (Darwin) ของประเทศออสเตรเลียที่รวมผู้ป่วยมากกว่า 1,000 ราย นักวิจัยพบว่าการติดเชื้อมีความสัมพันธ์กับฝนตก โดย 80% ของกรณีที่ได้รับรายงานเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน (ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนในพื้นที่ระบาดของออสเตรเลีย)  

ในขณะที่เกิดพายุ น้ำและดินที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียนี้จะถูกลมพัดขึ้นมาและทำให้คนหรือสัตว์สูดดมเข้าไปหรือกลืนได้ และเชื้อแบคทีเรียนี้ยังสามารถเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผลหรือรอยไหม้ได้ด้วย  

โรคที่มีระดับความรุนแรงอันดับ 1
เชื้อบี ซูโดมัลลิ จัดอยู่ในระดับที่ 1 ของโรคที่มีความรุนแรงและต้องรายงานต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้เชื้อบี ซูโดมัลลิเป็นเชื้อโรคกลุ่มเสี่ยงที่ 3 (ความเสี่ยงสูงต่อบุคคล ความเสี่ยงต่อชุมชนต่ำ) เนื่องจากโดยปกติแล้วจะไม่แพร่กระจายด้วยการสัมผัสแบบทั่วไปในชีวิตประจำวันจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง แต่การแพร่กระจายของละอองเชื้อจะเพิ่มความเสี่ยงของการติดโรคร้ายแรงได้   

พญ. แคโรไลน์ ชรอดต์ (Dr. Caroline Schrodt) รองผู้บัญชาการหน่วยบริการสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา จากศูนย์โรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนแห่งชาติของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค อธิบายว่าระยะฟักตัวหลังจากได้รับสัมผัสของโรคไข้ดินโดยปกติคือภายใน 21 วัน ในบางกรณีการติดเชื้ออาจเกิดขึ้นได้หลายเดือนหรือหลายปีให้หลัง แต่การแพร่เชื้อจากคนสู่คนยังคงพบได้ยาก  

พญ. ชรอดต์เน้นว่าการวินิจฉัยอาจเป็นเรื่องยุ่งยากและการรักษาก็ซับซ้อน….การรักษารวมถึงการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ 2 สัปดาห์ในระยะเฉียบพลันของการป่วย ตามด้วยยาปฏิชีวนะแบบกินในระหว่างระยะกำจัดเชื้อเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ถ้าการติดเชื้อที่ซับซ้อนต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้นสำหรับทั้งสองระยะ 

การรักษารวมถึงการให้ยาเซฟตาซิไดม์ (ceftazidime) หรือเมโรพีเนม (meropenem) ทางหลอดเลือดดำในระยะการรักษาอย่างเข้มข้น และแม้ว่าผู้ป่วยจำนวนมากจะมีอาการดีขึ้นในระยะเฉียบพลันของการรักษา พญ. ชรอดต์กล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือต้องให้การรักษาตลอดระยะเฉียบพลันอย่างต่อเนื่องและตามด้วยระยะกำจัดเชื้อทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยงของการกำเริบของโรคหรือการกลับเป็นซ้ำ”

พญ. ชรอดต์แนะนำให้กินยาไตรเมดโทพริม-ซัลฟาเมทท็อกซาเลต (trimethoprim-sulfamethoxazole) หรือแบคทริม  (Bactrim) เพื่อการบำบัดและการกำจัดเชื้อ และควรกินอย่างต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 3 เดือน  และเสริมว่าการเสริมกรดโฟลิกพร้อมกันสามารถช่วยลดผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ต้านโฟเลตของยาดังกล่าว เช่น พิษต่อไขกระดูก   

โรคปอดบวมที่พบบ่อย
ในการวิจัยทางคลินิกดาร์วินซึ่งเป็นการวิจัยแบบเก็บข้อมูลไปข้างหน้า (Darwin Prospective Study) อาการป่วยหลักที่พบมากที่สุดคือปอดบวมซึ่งพบมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย 1,000 ราย ส่วนผู้ป่วยที่ไม่มีอาการทางปอดเมื่อเริ่มมีอาการป่วยในตอนต้น ประมาณ 20% จะเป็นปอดบวมในเวลาต่อมา และการติดเชื้อทางผิวหนังพบในผู้ป่วย 150 คน ซึ่งมักเป็นเรื้อรังและคงอยู่นานหลายเดือน  ส่วนเด็กนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเมลิออยโดสิสที่ผิวหนังมากกว่าผู้ใหญ่  

ผู้เข้าร่วมการวิจัยอีก 140 คนมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายที่เป็นฝีต่อมลูกหมาก

ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมากกว่าครึ่งหนึ่งมีภาวะแบคทีเรียในกระแสเลือด และมากกว่า 20% เกิดภาวะช็อก และส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 

นักวิทยาศาสตร์กังวลว่ากรณีของโรคเมลิออยโดสิสจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปเนื่องจากปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น     

มาตรฐานที่ดีที่สุดสำหรับการวินิจฉัยโรคเมลิออยโดสิสคือการเพาะเชื้อแบคทีเรียจากตัวอย่างที่เก็บได้ ใครก็ตามที่สงสัยว่าเป็นโรคเมลิออยโดสิสควรได้รับการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ ได้รับการเก็บเสมหะและปัสสาวะ และควรได้รับการเก็บตัวอย่างจากบริเวณที่มีการติดเชื้อ เช่น ฝีและแผลที่ผิวหนังด้วย เมื่อใดก็ตามที่ผลการเพาะเชื้อเป็นบวก การรักษาจะต้องเริ่มต้นนับเวลาใหม่อีกครั้ง

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้รายงานกรณีต้องสงสัยของโรคเมลิออยโดสิสต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่

เชื้อ บี ซูโดมัลลิเป็นแบคทีเรียที่เคลื่อนที่ได้ ที่เมื่อย้อมดูเชื้อแกรมจะเป็นลบ และผลการทดสอบออกซิเดสเป็นบวก (gram-negative, oxidase-positive) และมีลักษณะเหมือนเข็มกลัดซ่อนปลายอันเป็นเอกลักษณ์เมื่อถูกย้อมสีแกรม การวินิจฉัยอาจเป็นเรื่องที่ลำบากบ้างเนื่องจากการพยายามเพาะเลี้ยงครั้งแรกอาจไม่ประสบผลสำเร็จ อาจจำเป็นต้องมีการเพาะเชื้อเป็นระยะๆไปสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ของการติดเชื้ออย่างชัดเจน    

ความเสี่ยงของโรคเมลิออยโดสิสอาจสัมพันธ์กับการสัมผัสกับเนื้อสัตว์ ซากสัตว์ ชิ้นส่วนของสัตว์ หรือสัตว์นำเข้า การระบาดของโรคเมลิออยโดสิสในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีความเชื่อมโยงกับสเปรย์อโรมาเธอราพี (aromatherapy spray) ชนิดหนึ่ง

การลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อรวมถึงการดื่มน้ำสะอาด การปกป้องผิวหนังจากดินหรือน้ำโคลน การหลีกเลี่ยงการเดินฝ่าน้ำท่วมหลังจากพายุหรือภัยพิบัติ และการสวมรองเท้าบู๊ต  บาดแผลที่เปิด หรือที่ถูกมีดบาด หรือแผลไฟไหม้ ควรปิดด้วยผ้าพันแผลแบบกันน้ำ ควรล้างบาดแผลผิวหนังให้สะอาดหากสัมผัสกับน้ำสกปรกหรือดิน  

พญ. ชรอดต์ เน้นว่า “โรคนี้มีผลกระทบสูงและเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรู้จักโรคนี้ และให้การรักษาที่ถูกต้อง”

หมายเหตุ: ในปีพศ. 2455 มีรายงานโรคนี้ครั้งแรกโดยวีทมอร์และกฤษณะสวามี (Whitmore & Krishnaswami) ในผู้ป่วยชาวพม่าจำนวน 38 คน จึงเรียกชื่อโรคนี้ว่าโรคของวีทมอร์ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นโรคเมลิออยโดสิสในปี 2464 และเป็นที่รู้จักกันในชื่อโรคไข้ดิน โรคนี้มีมานานแล้วแต่ถูกหลงลืมไป

แบคทีเรียเบอร์โคลเดอเรีย ซูโดมัลลิ เป็นแบคทีเรียที่คงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ สามารถเจริญได้ในภาวะดินที่เป็นกรด และอุณหภูมิตำ่ ทำให้เชื้อนี้สามารถอยู่ในดินเป็นระยะเวลานานจึงพบมากในภาคตะวันออกของประเทศไทยที่มีสภาพดินเป็นกรด ในฤดูฝนจึงมีการแพร่กระจายตามน้ำหรือลอยอยู่ในฝุ่น เมื่อหายใจเข้าไปอาจทำให้เกิดโรค ความชุกของโรคนี้จึงกระจุกอยู่ในภาคตะวันออกของไทย

สถิติที่รายงานโดยสคร. 9 ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 8 มีนาคม 2566 มีผู้ป่วย 662 ราย เสียชีวิต 7 ราย  ซึ่งเมื่อย่างเข้าฤดูฝนจำนวนคนไข้ย่อมสูงขึ้นมาก ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และปริมาณเชื้อที่ได้รับ หากเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดอาจถึงแก่ชีวิตได้

ปัจจัยเสี่ยง: 80% ของผู้ป่วยมักจะมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า1 ปัจจัย รวมถึง:

  1. เบาหวาน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 12 เท่า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สุด
  2. ดื่มสุรามาก
  3. โรคปอดเรื้อรัง โดยเฉพาะถุงลมโป่งพอง
  4. โรคตับเรื้อรัง
  5. โรคไตเรื้อรัง
  6. มะเร็งในระหว่างรักษาเคมีบำบัด
  7. ภูมิคุ้มกันตำ่หรือได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
  8. เลือดจางหรือทาลัสซีเมีย

การตรวจทางห้องปฏิบัติการยุ่งยากใช้เวลานาน เช่นการเพาะเชื้อ ตรวจชิ้นส่วนพันธุกรรมพีซีอาร์ (PCR) เป็นต้น ส่วนการตรวจหาเชื้อ หรือ Snap test ยังอยู่ในระหว่างการวิจัย ถ้ามีความแม่นยำสูง ก็จะเป็นข่าวดีในการช่วยวินิจฉัยโรค

_________________

[1] Tackle Deadly Melioidosis With Swift, Specialized Care โดย Allison Shelley ใน https://www.medscape.com/s/viewarticle/997106?src=&form=fpf