แปลบทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ
ผู้ที่ทำงานด้านเอชไอวีส่วนมากแล้วคุ้นเคยและเข้าใจเกี่ยวกับอิทธิพลของโครงสร้างทางสังคมต่อบริการด้านสุขภาพและ เอชไอวี โรคระบาดโควิด-19 ก็เช่นเดียวกัน ไวรัสโคโรนาไม่สนใจเกี่ยวกับนโยบายทางการเมืองหรือความเชื่อทางการเมืองของผู้คน ถึงแม้ว่าทุกคนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแต่โครงสร้างทางสังคม-การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งต่อ ความเปราะบางของผู้คนต่อไวรัสโคโรนาและโควิด-19 นสพ. The Washington Post มีบทความเกี่ยวกับสุขภาพที่อธิบายว่า ปัจจัยการเมืองอาจทำให้คนตายได้จากโควิด-19[1]
การวิจัยสองโครงการแสดงถึงผลร้ายของการเมืองระบบพรรค (partisan politics) ที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 สำหรับกลุ่มคนวัยทำงานในสหรัฐอเมริกา
การวิจัยโครงการหนึ่งสรุปว่าคนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคที่เอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยม (conservative) ของสหรัฐอเมริกามี อัตราการป่วยรุนแรงและตายจากโควิด-19 สูง และการวิจัยอีกโครงการหนึ่งที่พิจารณาถึงผลลัพธ์ด้านสุขภาพโดยรวมพบว่าหากนโยบายของรัฐเอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยมมาก ชีวิตของคนวัยทำงานจะสั้นลงด้วย[2]
ถึงแม้ว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อชีวิตคนวัยทำงานจะมีมาก แต่ผลการวิจัยแสดงว่านโยบายของรัฐ (state policies) มีอิทธิพล สำคัญมากกว่านโยบายของรัฐบาลกลาง (federal policies) ในการกำหนดสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ ด้านครอบครัว ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านพฤติกรรม ที่มีผลกระทบต่อภาวะความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน
ในสหรัฐอเมริกาบางรัฐได้ขยายบริการเกี่ยวกับสวัสดิการต่างๆสำหรับประชาชน เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ให้เงินลดหย่อนภาษี หรือเครดิตภาษีสำหรับรายได้ที่เกิดจากการทำงาน/ธุรกิจ (earned income) ให้แก่ประชาชน และใช้เงินที่ได้จากภาษีสรรพสามิต (excise tax หรือภาษีทางอ้อม) ในการส่งเสริมให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอันตรายสำหรับสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ แต่บางรัฐมีนโยบายที่ตรงกันข้าม
ผลของการวิจัยโครงการนี้สะท้อนถึงความแตกต่างที่แยกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจนเพราะโดยรวมแล้วสุขภาพของชาวอเมริกันไม่ได้ดีขึ้นแต่แย่ลงกว่าเดิม ซึ่งคาดว่าอายุเฉลี่ยของชาวอเมริกันในปัจจุบันจะเท่ากับ 76.1 ปีที่เป็นอายุเฉลี่ยของชาวอเมริกันเมื่อปีคศ. 1996 สาเหตุที่ทำให้อายุเฉลี่ยของชาวอเมริกันลดลงได้แก่เช่น อัตราการป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราการตายของทารกแรกเกิด และโควิด-19
ศาสตราจารย์แนนซี ครีเกอร์ (Prof. Nancy Krieger) ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาเชิงสังคม (social epidemiologist) ของ วิทยาลัยสาธารณสุขอนุสรณ์ ที. เอช. ชาน แห่งฮาร์วาร์ด (Harvard T. H. Chan School of Public Health) นักวิจัยหลักของ การวิจัยกล่าวว่าการวิจัยเป็นการศึกษาพฤติกรรมของผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ซึ่งบางคนมีอำนาจมากกว่าคนอื่นในการกำหนด มาตราฐาน ในการสรรหาและจัดสรรทรัพยากรสำหรับประชาชน และเน้นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ประชาชนจะต้องถามเจ้าหน้าที่ ของรัฐที่ได้รับเลือกตั้งมาว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนหรือไม่?
นักวิจัยจากฮาร์วาร์ดวิเคราะห์ข้อมูลอัตราการตายจากโควิด-19 และความกดดันต่อแผนกผู้ป่วยฉุกเฉินในเขตรัฐสภา 435 เขตตั้งแต่เดือนเมษายน คศ. 2021 ถึงเดือนมีนาคม คศ. 2022 นอกจากนั้นแล้วนักวิจัยยังศึกษาบันทึกการออกเสียงโหวต ของสมาชิกรัฐสภาว่าสมาชิกรัฐสภาออกเสียงต่อร่างกฏหมายบรรเทาทุกข์ไวรัสโคโรนา (coronavirus relief bills) ทั้งสี่ฉบับ อย่างไรบ้าง และศึกษาว่าผู้ว่าราชการของรัฐและรัฐสภาของรัฐนั้นถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองพรรคหนึ่งหรือไม่
การวิจัยโดยทีมวิจัยจากฮาร์วาร์ดที่เผยแพร่ในวารสาร The Lancet ฉบับภูมิภาคอเมริกาเดือนธันวาคม คศ. 2022[3] พบว่าการโหวตของสมาชิกรัฐสภาของรัฐบาลกลางและสมาชิกรัฐสภาของรัฐที่เป็นอนุรักษ์นิยมมากเท่าไรอัตราการเสียชีวิต จากโควิด-19 ที่ปรับตามฐานอายุแล้วจะสูงขึ้นตามไปด้วยถึงแม้ว่าในการวิเคราะห์จะคำนึงถึงปัจจัยด้านเชื้อชาติ การศึกษา รายได้ และอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของแต่ละเขตรัฐสภาด้วยก็ตาม
อัตราการตายในรัฐที่พรรครีพับริกันควบคุมรัฐบาลของรัฐจะสูงขึ้น 11% และอัตราการตายในรัฐที่ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยมจะสูงขึ้นอีก 26% และผลเกี่ยวกับศักยภาพของแผนกผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็แสดงถึง แนวโน้มทำนองเดียวกันหากว่าอำนาจทางการเมืองเน้นไปทางอนุรักษ์นิยม
ศ. ครีเกอร์ เน้นว่าปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวกับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนที่อาศัยในเขตรัฐสภานั้นก็ไม่สามารถอธิบาย ถึงผลที่พบได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนือกว่าปัจจัยเกี่ยวกับประชากรศาสตร์ของเขตรัฐสภา ผลที่ได้ชี้แนะว่ามีอะไรบาง อย่างเกิดขึ้นในกระบวนการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการออกเสียงโหวตของเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่ง อาจกล่าวได้ว่านโยบายที่เกี่ยวกับสาธารณะ รวมถึงความเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย และวัคซีน และ ปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย เป็นสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนรูปแบบของการเสียชีวิตจากโควิด-19 ของสหรัฐอเมริกา
การวิจัยอีกโครงการหนึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนเมษายน จนถึงเดือนสิงหาคมของปีคศ. 2022 โดย นสพ. Washington Post ผลการวิเคราะห์แสดงว่าอัตราการเสียชีวิตจากโควิด–19 ที่ปรับตามฐานอายุได้เปลี่ยนไปจากเดิม
การวิเคราะห์ข้อมูลโดย Washington Post แสดงว่าในช่วงต้นของโรคระบาดคนผิวดำมีโอกาสเสียชีวิตจากโควิด–19 มากกว่าคนผิวขาวถึงสามเท่า แต่ในปีคศ. 2020 อัตราการเสียชีวิตของคนสองกลุ่มเริ่มแคบลงและสาเหตุไม่ใช่เพราะอัตรา การเสียชีวิตของคนผิวดำลดลง แต่เป็นเพราะว่าการเสียชีวิตของคนผิวขาวเพราะโควิด-19 เริ่มมีมากขึ้นในจำนวนที่ไม่คาด คิดมาก่อน และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเป็นกลุ่มฐานเสียงหลักของพรรครีพับริกัน
สิ่งที่น่าสังเกตคืออัตราการป่วยและการตายที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนผิวดำกับคนผิวขาวนั้นเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากโค วิด ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวกับคนเชื้อชาติอื่นๆนี้ทำให้ชุมชนคนเชื้อชาติอื่นที่ไม่ใช่คนผิวขาวมีความเสี่ยงสูง ต่อโรคเรื้อรังต่างๆมากกว่าคนผิวขาวและทำให้คนเหล่านั้นมีภูมิคุ้มกันที่เปราะบางต่อโรคระบาดต่างๆ และสะท้อนถึงระบบ ของการแบ่งแยกผิว
การเมืองของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้นและแบ่งแยกออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน พรรครีพับริกันเริ่มเอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยมอย่างเต็มที่ในช่วงปี คศ. 2010 และบรรลุถึงระดับสูงสุดในช่วงของอดีตประธานาธิบดีสิบแปดมงกุฏ (ทรัมป์)
ความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองระหว่างรัฐต่างๆทำให้หลายอย่างติดขัดไปหมด ดังนั้นหากผู้คนต้องการนโยบาย และบริการใดใดของรัฐ พวกเขาจะต้องเริ่มต้นที่รัฐบาลระดับรัฐ และรัฐบาลของแต่ละรัฐจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่า พรรคการเมืองใดเป็นใหญ่ ตัวอย่างเช่น รัฐท่ีพรรคเดโมแครตเป็นใหญ่ รัฐนั้นจะมีกฏหมายคุ้มครองสิทธิการทำแท้งและมี นโยบายที่ส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ส่วนรัฐที่พรรครีพับริกันเป็นใหญ่เรื่องเหล่านี้จะตรงกันข้าม
การวิเคราะห์ข้อมูลโดย Washington Post เมื่อเดือนตุลาคม 2565 แสดงว่าในปีคศ. 2019 ทุกรัฐที่นโยบายเสรีนิยม (liberal policies) เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้อาวุธปืน ความยุติธรรมทางอาญา สุขภาพและสวัสดิการ รัฐ แรงงาน กัญชา เศรษฐกิจ และกฏหมายเกี่ยวกับบุหรี่ รัฐเหล่านั้นจะสามารถช่วยชีวิตคน 170,000 คนจากโควิดได้ ส่วนรัฐที่มีกฏหมายและนโยบายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในทางตรงกันข้าม รัฐเหล่านั้นจะมีคนเสียชีวิตจากโควิดจำนวน 217,000 คน ซึ่งในรายงานเปรียบเทียบว่าเท่ากับเครื่องบินที่มีผู้โดยสาร 600 คนตกและทำให้ผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่เสียชีวิตหมดที่เกิดขึ้นทุกวันตลอดทั้งปี
การประเมินที่แสดงถึงจำนวนคนที่ได้รับการกู้ชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุด (ประมาณ 201,00 คน) มาจากรัฐที่มีนโยบายและ กฏหมายผสมกัน เช่น มีกฏหมายต่อต้านกัญชา แต่นโยบายอื่นๆเป็นนโยบายเสรีนิยม ในรายงานระบุว่าแนวโน้มที่รัฐต่างๆ หันไปทางอนุรักษ์นิยมและจำนวนคนที่อพยพไปยังรัฐเหล่านั้นที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเหตุผลที่อธิบายถึงอายุเฉลี่ยของชาว อเมริกันที่ลดลงต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นๆ
ศาสตราจารย์เจนนิเฟอร์ คาราส มอนเตซ (Prof. Jennifer Karas Montez) ผู้อำนวยการของศูนย์เพื่อการศึกษาเกี่ยวกับการ ชราภาพและนโยบาย (Center for Aging and Policy Studies) ของมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ ผู้เขียนหลักของรายงานการ วิเคราะห์กล่าวว่านโยบายของรัฐเป็นกลไกที่จะทำให้สหรัฐอเมริกากลับไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นและที่จะหยุดความเสี่ยงต่อการ เสียชีวิตก่อนมีอายุถึง 65 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก
ตัวอย่างหนึ่งของอิทธิพลทางการเมืองที่มีผลกระทบทางลบต่อสุขภาพคือกฏหมายเกี่ยวกับการทำแท้ง หลังจากที่ศาลสูงสุด (supreme court) ของสหรัฐอเมริกามีมติจำกัดสิทธิการทำแท้งทำให้รัฐต่างๆมีอำนาจออกกฏหมายห้ามการทำแท้งได้ มีการ ประเมินว่าอัตราการเสียชีวิตของมารดาจากการมีครรภ์หรือการคลอดอาจเพิ่มขึ้นถึง 25-30% ได้ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่อายุเฉลี่ย ของชาวอเมริกันต่ำกว่าประเทศพัฒนาอื่นๆ เพราะสหรัฐอเมริกามีอัตราการเกิดของเด็กอยู่ในระดับท้ายๆของกลุ่มประเทศที่ พัฒนาแล้ว
การแก้ไขปัญหาที่เอ่ยมาจะต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างพรรคการเมืองทั้งสองพรรคของสหรัฐอเมริกา และมาตราการการแก้ไขปัญหาจะต้องครอบคลุมหลายเรื่อง ซึ่ง ศ. มอนเตซ กล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ครอบคลุม หมดทุกอย่าง แต่การร่วมมือของทั้งสองพรรคจะทำให้การแก้ไขปัญหาก้าวหน้าไปได้
_________________
[1] Can politics kill you? Research says the answer increasingly is yes. โดย Akilah Johnson เมื่อ 16 ธันวาคม 2565 ใน www.washingtonpost.com/health/2022/12/16/politics-health-relationship/
[2] พรรคการเมืองของสหรัฐอเมริกาที่เอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยม (แบบทุนนิยม) คือ พรรครีพับริกัน (Republicans) ซึ่งในปัจจุบันเป็นพรรคที่สนับสนุน นโยบายที่ผ่อนคลายหรือยกเลิกกฏระเบียบของรัฐและเน้นบทบาทของภาคเอกชน ภาคธุรกิจในการจัดสรรทรัพยากรและบริการต่างๆให้แก่ประชาชน พรรครีพับริกันส่งเสริมอัตราภาษีที่ตำ่ ยืนยันสิทธิของประชาชนในการมีอาวุธปืน เข้มงวดเกี่ยวกับคนเข้าเมือง คนอพยพ ยกเลิกหรือควบคุมการทำแท้ง ควบคุมสหภาพแรงงาน และต้องการเพิ่มงบประมาณทางทหารของประเทศ สมาชิกพรรครีพับริกันส่วนมากเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนชนบท ส่วนมากเป็น คนผิวขาวนับถือศาสนาคริสเตียนแบบอีแวนเจลิส (evangelical Christians) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นผู้ชายผิวขาว ความสนับสนุนสำหรับพรรครีพับริกัน ส่วนมากเป็นคนชั้นแรงงาน ส่วนคนที่มีการศึกษาระดับวิทยาลัย/มหาวิทยาลัย และมีรายได้มากกว่ามักจะไม่สนับสนุนพรรครีพับริกัน
[3] www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2667193X22002010