บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ
ในการให้สัมภาษณ์รายการทีวี 60 Minutes เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2565 ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน กล่าวว่าโรคระบาดโควิด-19 จบไปแล้ว การประกาศดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของชาวอเมริกันจำนวน มากที่ต้องการให้โรคระบาด-19 จบไปเสียที ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า
“โรคระบาดแพนเดมิก (pandemic) จบไปแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะยังมีปัญหาเกี่ยวกับโควิดอยู่และเรากำลังแก้ไขปัญหาเหล่านั้น อยู่… ไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัยอีกแล้ว ทุกคนดูเหมือนว่าจะมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นผมคิดว่าโรคระบาดกำลังเปลี่ยนแปลง ไป”[1]
แต่การประกาศดังกล่าวนำไปสู่การโต้แย้งเป็นอย่างมากทั้งจากมุมมองด้านสังคมและการเมืองและจากมุมมองของโรคระบาด แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทยศาสตร์ของประธานาธิบดีไบเดนก็ไม่รู้เกี่ยวกับการตัดสินใจเช่นนั้นมาก่อนและแปลกใจกับการประกาศดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดบางคนคิดว่าการเปรียบเทียบว่าสหรัฐอเมริกาหลุดพ้นจากป่าพงโควิด-19 แล้ว คงไม่เหมาะเสียทีเดียว การอ้างโควิด-19 ในทำนองคลื่นทะเลระลอกต่างๆ อาจจะเหมาะสมกว่าเพราะว่ามันจะเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศต้องประสบเป็นประจำทุกปีเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ เพียงแต่ว่าโควิด-19 อันตรายกว่าไข้หวัดใหญ่ เท่าที่ผ่านมา โควิด-19 เป็นสาเหตุที่ทำให้คนตายมากกว่าไข้หวัดใหญ่ และข้อดีของกรณีโควิด-19 คือจำนวนคนที่ได้รับฉีดวัคซีนไปแล้วมีมากกว่า
อย่างไรก็ตามการเปรียบเทียบโควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่อาจเป็นเรื่องที่ไม่ดีนักเพราะอาจมีคนจำนวนหนึ่งที่คิดว่าโควิด เหมือนกับไข้หวัดใหญ่และไม่ต้องการฉีดวัคซีนซึ่งย่อมจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
นพ. สก็อตต์ ก็อตต์ลีบ (Dr. Scott Gottlieb) อดีตกรรมาธิการขององค์การอาหารและยาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของโทรทัศน์ CNBC ว่าถึงแม้ว่าโควิด–19 จะเปลี่ยนไปเป็นโรคระบาดที่เกิดตามฤดูก็ตาม การระบาดของโควิด-19 ก็ยังเข้าข่าย นิยามของแพนเดมิก (โรคระบาดที่กระจายไปทั่วโลก) อยู่ และเสริมว่าในความเป็นจริงแล้วคนส่วนมากถือว่าแพนเดมิกเป็นความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตปัจจุบัน
ส่วนพญ. เดโบราห์ เบิกซ์ (Dr. Deborah Birx) อดีตผู้ประสานงานเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาชุดก่อน หน้านี้เตือนที่ประชุมเกี่ยวกับผู้บริโภคให้ระวังการปะทุเพิ่มขึ้นของโควิด-19 ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ (เริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายนที่เพิ่งผ่านไป) และยกตัวอย่างกรณีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในหลายรัฐทางตอนใต้ของประเทศ และเสริมว่า โรงเรียนกำลังจะเปิดเรียนตามปกติซึ่งอาจช่วยให้โควิด-19 แพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น
ในเวปไซต์ STAT เฮเลน แบรนสเวล (Helen Branswell) เขียนข่าวที่มีหัวข้อว่าคำตอบว่าการระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไป แล้วหรือไม่น้ันอาจเป็นเรื่องศิลป์มากกว่าวิทยาศาสตร์[2]
ในข่าวผู้เขียนตั้งคำถามว่าในการระบุว่าแพนเดมิกสิ้นสุดแล้วหรือกำลังจะสิ้นสุดแล้วเรารู้ได้อย่างไร โดยเฉพาะกับโรคระบาดที่เรากำลังพยายามแก้ปัญหาที่ยังคงเกิดขึ้นอยู่? การถึงจุดสิ้นสุดของโรคระบาดนั้นไม่มีอะไรบอกให้เรารู้ได้เหมือน กับขับรถข้ามชายแดนจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง เราไม่มีเส้นแบ่งที่ตายตัวระหว่างช่วงแพนเดมิกและช่วงหลังแพนเดมิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแพนเดมิกครั้งแรกที่เกิดจากไวรัสโคโรนา มันไม่เหมือนกับว่าเราจะรู้ว่าแพนเดมิกผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อจำนวนการติดเชื้อลดต่ำถึงระดับหนึ่งภายในช่วงเวลาหนึ่ง
ผู้เชี่ยวชาญที่เฮเลน แบรนสเวล สัมภาษณ์กล่าวว่าเราไม่มีตัววัดที่เป็นที่ยอมรับกันหรือกฏระดับนานาชาติที่ระบุอย่างชัดเจนว่าการระบาดได้หยุดแล้ว และในความเป็นจริงแล้วหลายอย่างเป็นเพียงสิ่งที่เกิดเพียงชั่วคราวเมื่อเราไปถึงจุดที่จะรู้แน่ว่า แพนเดมิกได้จบไปแล้ว
จอห์น แบรี่ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติของไข้หวัดใหญ่สเปนของปีคศ. 1918 กล่าวว่า “แพนเดมิกสิ้นสุดเมื่อผู้คนคิดว่า มันสิ้นสุดแล้ว และดูเหมือนว่าสำหรับโควิด-19 คนส่วนมากคิดแล้วว่ามันสิ้นสุดไปแล้ว” และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ผู้ เขียนสัมภาษณ์สะท้อนความคิดนี้ ซึ่งในอีกมุมมองหนึ่งนั้นแพนเดมิกผ่านพ้นไปแล้วเมื่อผู้คนหยุดทำมาตรการต่างๆที่ ปกป้องตัวเองจากการติดเชื้อ หรือเมื่อพวกเขาหยุดทำตามคำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเมื่อผู้คนกลับไปมี พฤติกรรมต่างๆเหมือนเดิมก่อนการแพร่ระบาด
ดร. นพ. ไมเคิล ออสเตอร์ฮอม (Dr. Michael Osterholm) ผู้อำนวยการของศูนย์การวิจัยโรคติดเชื้อและนโยบาย (Center for Infectious Disease and Policy) ของมหาวิทยาลัยมินนิโซตากล่าวว่าการที่จะบอกว่าแพนเดมิกจบแล้วหรือยังอาจ บอกได้จากสิ่งที่โรคระบาดทำกับมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกายและทางจิตใจ
ดร. ออสเตอร์ฮอม คิดว่าจากมุมมองด้านจิตใจโรคระบาดนี้สิ้นสุดไปแล้ว เพราะในขณะนี้คนส่วนมากเน้นด้านจิตใจ พวก เขาต้องการเดินหน้าต่อไป พวกเขาไม่ต้องการทำอะไรกับแพนเดมิกอีกต่อไปแล้ว
แต่หากใช้มาตรวัดทางร่างกายแล้ว ดร. ออสเตอร์ฮอม ไม่คิดว่าแพนเดมิกจบไปแล้วโดยตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนผู้ที่เสียชีวิต จากโควิด-19 ในอาทิตย์ที่ผ่านๆมายังคงเพิ่มขึ้นอยู่ และโควิด-19 ยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 4 ของ สหรัฐอเมริกา และเน้นว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาคงอยู่ในระดับนี้มาเป็นเวลา 12 อาทิตย์แล้ว และ ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น และด้วยเหตุนี้การกล่าวว่าแพนเดมิกจบไปแล้วเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้
ดร. ออสเตอร์ฮอม บอกเป็นนัยว่าคำกล่าวของประธานาธิบดีไบเดน ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนและเรียกการ กล่าวเช่นนั้นว่าเป็นความผิดพลาดที่ก่อขึ้นเองและเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเพราะเป็นช่วงที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลัง กระตุ้นให้คนยอมรับวัคซีนโควิดรุ่นใหม่ที่ปรับปรุงให้เหมาะสมกับไวรัสที่กำลังระบาดอยู่ด้วย ดร. ออสเตอร์ฮอม กล่าวว่า สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดคือการทำให้คนไม่ต้องการฉีดวัคซีนกระตุ้น ดังนั้นเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากล่าวว่าแพนเด มิกผ่านพ้นไปแล้วจะมีสาเหตุอะไรที่ทำให้คนต้องการฉีดวัคซีนกระตุ้นอีก?
เฮเลน แบรนสเวล กล่าวว่าคนจำนวนหนึ่งคาดว่าองค์การอนามัยโลกจะประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับโควิด-19 ที่ องค์การอนามัยโลกประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคม 2020 แต่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อเล็กซานดรา เพลัน (Asst Professor Alexandra Phelan) จากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโลกและความมั่นคง (Center for Global Health Science and Security) ของมหาวิทยาลัยจอร์จเทาน์กล่าวว่าองค์การอนามัยโลกไม่ได้ประกาศการเริ่มต้นของแพนเดมิกและองค์การอนามัยโลกจะ ไม่ประกาศการจบของแพนเดมิกเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในเวลาหนึ่งองค์การอนามัยโลกจะต้องประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินหลังจากที่ปรึกษากับคณะกรรมการที่ ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งคณะกรรมการที่ปรึกษานี้ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระไม่ได้ขึ้นต่อองค์การอนามัยโลก ผศ. เพลัน คาดว่าองค์การอนามัยโลกอาจจะประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินในปลายปีนี้
ดร. เจ อเล็กซานเดอร์ นาวาร์โร ผู้อำนวยการของศูนย์ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ (Center for the History of Medicine) ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่าคำเรียกต่างๆเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ที่คนโดยทั่วไปคุ้นเคยเป็นศัพท์ที่ไม่มี นิยามที่ดี ศัพท์เหล่านั้นได้แก่เช่น การปะทุ (outbreak) การระบาด (epidemic) การระบาดใหญ่หรือการระบาดไปทั่ว (pandemic) และโรคประจำถิ่น (endemic)
ดร. นาวาร์โร อธิบายว่าโดยความเป็นจริงแล้วแพนเดมิก (pandemic) เป็นกรณีที่เกิดขึ้นน้อยมาก และแต่ละแพนเดมิกก็มี ความเฉพาะของมันเอง เช่นแพนเดมิกปี 1918 ที่การระบาดแบ่งออกเป็นสามระลอก แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่คิดว่ามีระลอก ที่สี่ซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี 1920 ที่บางเมืองมีคนตายมากกว่าจำนวนคนตายในระลอกของฤดูใบไม้ร่วงปี 1918 ส่วนแพนเดมิกเอชวันเอ็นวัน (H1N1 pandemic) ของปี 2009 เป็นแพนเดมิกที่ถือว่าไม่รุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับแพนเดมิก อื่นๆ และเกิดขึ้นเพียงระลอกเดียว
โดยปกติแล้วจะต้องรอให้เวลาผ่านไปแล้วระยะหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีระลอกใหม่เกิดตามมาอีกและโรคนั้นได้กลับไปสู่ แนวโน้มเดิมแล้ว แต่สำหรับโควิดแล้วเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีกเพราะว่าเรายังไม่มีประสบการณ์ที่มีการบันทึกไว้ของการ ระบาดครั้งอื่นๆในอดีตที่เกิดจากไวรัสโคโรนา ไวรัสโคโรนาสี่ชนิดที่ทำให้คนป่วยที่มีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดาอาจมี การระบาดขนาดใหญ่แบบแพนเดมิกแล้วในอดีตก็ได้แต่เนื่องจากอาการป่วยคล้ายกับไข้หวัดใหญ่แพนเดมิกนั้นอาจถูก ถือว่าเป็นแพนเดมิกของไข้หวัดใหญ่ก็ได้
ดร. นาวาร์โร อธิบายว่าสำหรับแพนเดมิกของไข้หวัดใหญ่นั้น การเปลี่ยนไปสู่ภาวะหลังการระบาดดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อ การป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่กลับไปสู่จังหวะเดิมตามปกติของมัน สำหรับภูมิภาคที่อากาศหนาวนั้นจำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มสูงสุด ในช่วงฤดูหนาว และในช่วงฤดูร้อนระลอกของการติดเชื้อและการป่วยจะหายไป จำนวนคนตายลดลง พฤติกรรมต่างๆที่ผิด ปกติจะหายไปและคนจะหันกลับไปมีพฤติกรรมตามปกติอีกครั้ง
แต่ปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเราไม่รู้ว่าโควิด-19 ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่นเป็นอย่างไร ซึ่ง ดร. นาวาร์โร ถามว่าความเป็น ปกติเมื่อมีโควิดจะเป็นอย่างไร? เราคาดว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อเท่าไรต่อวัน ต่อฤดู และต่อปี?
ข้อกังวลอีกเรื่องหนึ่งต่อการด่วนประกาศว่าโควิดผ่านพ้นไปแล้วคือการประกาศดังกล่าวดูเหมือนว่าประธานาธิบดีไบเดนไม่ ให้ความสนใจต่อปัญหาโควิดยาวที่เกิดมากขึ้นและที่จะมีผลกระทบยาวนานต่อผู้ป่วยและครอบครัว
ดร. ออสเตอร์ฮอม แนะนำว่าเราควรจะมีหลักเกณฑ์พื้นฐานสำหรับกำหนดว่าแพนเดมิกจะจบอย่างไรและเมื่อไร และเน้นว่า เราไม่สามารถทำให้แพนเดมิกหายไปได้ด้วยการตัดสินใจทางการเมือง
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดระดับสูงของรัฐบาลไบเดนก็รู้สึกไม่สบายใจต่อการประกาศของประธานาธิบดีไบเดน นพ. แอนโทนี ฟาวชิ (Dr. Anthony Fauci) กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ The Washington Post ว่าถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสภาวะที่ดีกว่า เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาก็ตาม แต่เรายังมีงานที่ต้องทำมากมายเพื่อให้การระบาดลดลงถึงจุดที่เรารู้สึกสบายใจกับมันได้ และเสริมว่าเขายังไม่รู้สึกสบายใจกับจำนวนคนตายวันละ 400 คนในปัจจุบัน[3]
นอกจากการโต้แย้งด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์แล้ว นักการเมืองพรรครีพับลิกันในสหรัฐอเมริกาฉวยโอกาสของการ ประกาศว่าโควิดผ่านพ้นไปแล้วในการคัดค้านมาตราการต่างๆในการป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อโควิดที่รัฐบาลไบเดน เสนอต่อรัฐสภาของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เช่น ข้อบังคับให้ทหารของสหรัฐอเมริกาต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือข้อบังคับให้ นักเรียนของโรงเรียนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางต้องฉีดวัคซีนโควิดและสวมหน้ากากอนามัย หรือนโยบายเงินกู้ การศึกษาสำหรับลดผลกระทบของโควิดที่รัฐบาลไบเดนกำลังเสนอต่อรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา และโครงการฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด การตรวจการติดเชื้อ และการรักษาผู้ป่วยโควิด ที่รัฐบาลไบเดนกำลังเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจากรัฐสภา สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
การประกาศของประธานาธิบดีไบเดน ค่อนข้างที่จะเป็นการตัดสินใจทางการเมือง และการประกาศว่าโควิดผ่านพ้นไปแล้ว เป็นการประกาศที่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนการตัดสินใจโดยกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยที่ยกเลิกโควิด-19 ออกจากโรคติดต่ออันตรายและถือว่าเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจจากหลักฐานทาง วิทยาศาสตร์ เพราะเป็นการประกาศล่วงหน้า
แต่ก็น่าคิดว่าความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่เพราะการระบุเวลาไว้ก่อนอย่างเจาะจงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าไวรัสรู้จักและเคารพ ปฏิทินได้อย่างไร ประกอบกับการผ่อนคลายมาตราการป้องกันต่างๆ เช่น การยืดระยะเวลาของวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติให้ สามารถอยู่ได้นานขึ้นกว่าเดิม หรือการอ้างถึงช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศสูง (ตุลาคมถึงมกราคม) เป็นเหตุผลหนึ่งในการเปลี่ยนสถานะการระบาดของโควิด-19 จากโรคอันตรายไปเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง ทำให้น้ำหนักของ เหตุผลทางการเมืองและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
_________________
[1] Biden declares the COVID-19 pandemic over โดย Frank Diamond เมื่อ 19 กันยายน 2565 ใน https://www.fiercehealthcare.com/payers/biden-declares-covid-19-pandemic-over
[2] Is the Covid-19 pandemic over? The answer is more art than science เมื่อ 19 กันยายน 2565 ใน https://www.statnews.com/2022/09/19/is-the-covid-19-pandemic-over-the-answer-is-more-art-than-science/
[3] Biden’s claim that ‘pandemic is over’ complicates efforts to secure funding โดย Dan Diamond เมื่อ 18 กันยายน 2565 ใน https://www.washingtonpost.com/health/2022/09/18/biden-covid-pandemic-over/