บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

ในต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมารายงานเกี่ยวกับกรณีเด็กเล็กที่ป่วยเป็นโรคตับอักเสบ (hepatitis) รุนแรงที่ไม่รู้สาเหตุมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (U.S. Centers for Disease Control and Prevention) ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของยุโรป (European Center for Disease Prevention and Control)  และสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักร (United Kingdom Health Security Agency) กรณีเด็กเล็กที่ป่วยด้วยโรคตับอักเสบมีมากกว่า 300 รายในประเทศต่างๆ จำนวนมากกว่ายี่สิบประเทศ[1]

กรณีเด็กเล็กป่วยเป็นโรคตับอักเสบจากสหรัฐอเมริกาส่วนมากเกิดกับเด็กเล็กที่มีสุขภาพดีมาก่อน จาก 109 กรณีที่ได้รับรายงานในสหรัฐอเมริกา 14% ต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายตับ (liver transplant) และเด็ก 5 คนของเด็กกลุ่มนี้เสียชีวิต กรณีตับอักเสบในเด็กเล็กที่มีสุขภาพดีเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้สาเหตุแน่นอนว่าเกิดจากอะไร แต่ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กที่ป่วยได้รับการวินิจฉัยยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสอะดิโน (adinovirus) ที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งสงสัยว่าเป็นสาเหตุสำคัญ แต่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาเตือนว่าการศึกษาสอบสวนเกี่ยวกับกรณีเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงต้นและยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่นอนได้

กรณีตับอักเสบในเด็กเล็กได้รับรายงานเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2564 จากรัฐอาลาบามา สหรัฐอเมริกา และกลายเป็นข่าวที่ถูกรายงานในระดับโลกในต้นเดือนเมษายน 2565 เมื่อสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักรเตือนให้โลกรู้ว่าสหราชอาณาจักรเจอกรณีตับอักเสบในเด็กอายุน้อยมากที่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนและยังหาสาเหตุไม่ได้หลายกรณี

กรณีตับอักเสบในเด็กของสหราชอาณาจักรรวมเด็กที่อายุมากที่สุดคือ 16 ปีแต่ส่วนมากแล้วเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี โดยรวมเด็กที่ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่รู้สาเหตุมีอายุเฉลี่ย 2 ปี

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ประเทศต่างๆ ที่มีรายงานเกี่ยวกับโรคตับอักเสบรุนแรงในเด็กรวมถึงสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เหนือ (222 ราย) สเปน (29) อิตาลี (27) เนเธอร์แลนด์ (14)  เบลเยี่ยม (14) สวีเดน (9) โปรตุเกส (7) เดนมาร์ก (7) ไอร์แลนด์ (7) อิสราเอล (12) สหรัฐอเมริกา (216) ญี่ปุ่น (31) และเม็กซิโก (10)[2]

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีเด็กที่ป่วยเป็นโรคตับอักเสบสูงมากประเทศหนึ่งกำลังทำการสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ กรณีเด็กป่วยเป็นโรคตับอักเสบรุนแรงที่ไม่รู้สาเหตุเกิดขึ้นในหลายรัฐ เด็กที่ป่วยเป็นเด็กที่มีสุขภาพดีมาก่อน แต่เจ้าหน้าที่ยังหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบไม่ได้

กรณีเด็กที่มีสุขภาพดีมาก่อนป่วยเป็นโรคตับอักเสบรุนแรงไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่การที่กรณีที่พบในขณะนี้เป็นเรื่องแปลกก็คือกรณีการป่วยเหล่านี้ไม่มีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ ที่เป็นที่รู้จักกันแล้วคือไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A) ถึงไวรัสตับอักเสบอี (hepatitis E) ที่เป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบที่พบโดยทั่วไป

ไวรัสที่ถูกสงสัยว่าเป็นสาเหตุของกรณีเหล่านี้เป็นไวรัสที่ไม่เคยถูกสงสัยมาก่อนคือไวรัสอะดิโน (adenovirus) โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอะดิโนประเภท 41 (adenovirus type 41) จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเด็กที่ป่วยอย่างน้อย 74 คนติดเชื้อจากไวรัสอะดิโน และผลการตรวจทางโมเลกุลแสดงว่าเด็ก 18 คนติดเชื้อไวรัสอะดิโนประเภท 41 และรายงานจากสหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ระบุว่าไวรัสอะดิโนที่แพร่กระจายอยู่ในประเทศทั้งสองมีเพิ่มมากขึ้นจึงเพิ่มนำ้หนักให้แก่สมมุติฐานนี้[3]

แต่ยังมีหลายประเด็นที่ทำให้สมมุติฐานนี้ซับซ้อนมากขึ้น โดยทั่วไปแล้วไวรัสอะดิโนมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ แต่ไวรัสอะดิโนบางประเภทรวมถึงประเภท 41 อาจทำให้เกิดกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ (gastroenteritis) ที่ทำให้ท้องร่วง ไวรัสอะดิโนประเภท 41 มีส่วนเกี่ยวข้องกับตับอักเสบในเด็กที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่ไม่เคยพบว่าทำให้เด็กที่มีสุขภาพดีป่วยเป็นโรคตับอักเสบมาก่อน

ถึงแม้ว่าเด็กหลายคนติดเชื้อไวรัสอะดิโนอยู่ก่อนแล้วเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคตับอักเสบ เด็กกลุ่มนี้ 20 คนเป็นโควิด-19 ด้วย และอีก 19 คนติดเชื้อทั้งไวรัสอะดิโนและไวรัสซาร์สโควีทูที่ทำให้เกิดโควิด-19 แต่เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกไม่คิดว่าวัคซีนโควิด-19 มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีเหล่านี้เพราะเด็กส่วนมากที่เป็นตับอักเสบยังไม่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 เลย

อาการป่วยอาการต่างๆ ของเด็กที่เป็นโรคตับอักเสบและตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสอะดิโนไม่เหมือนกับอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสอะดิโนประเภท 41 ที่รู้กันมาก่อน แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาดูว่าไวรัสอะดิโนเกิดการเปลี่ยนแปลงใดใดหรือไม่ที่นำไปสู่พฤติกรรมใหม่เช่นนี้

อย่างไรก็ตามปริมาณไวรัสอะดิโนที่ตรวจพบในเด็กที่เป็นโรคตับอักเสบนั้นต่ำมาก ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งไม่คิดว่าไวรัสอะดิโนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบในเด็กที่หาสาเหตุไม่ได้

อีกทฤษฎีหนึ่งเกิดจากข้อเท็จจริงว่ากรณีตับอักเสบในเด็กถูกรายงานเมื่อการระบาดของโควิด-19 อยู่ในปีที่สองแล้ว เด็กจำนวนมากจะป่วยเป็นหวัดและการติดเชื้อต่างๆ น้อยกว่าเดิมเพราะว่าการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลและการสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งอาจมีผลทำให้เด็กเหล่านี้มีความหวั่นไหวมากขึ้นต่อการป่วยที่มีอาการรุนแรงเมื่อสัมผัสกับเชื้อโรคต่างๆ นักวิทยาศาสตร์จากฮ่องกงรายงานว่ามีเด็กจำนวนมากที่ติดเชื้อไวรัสไรโน (rinovirus) ที่ทำให้ป่วยเป็นหวัดโดยทั่วไปและมีอาการรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลเมื่อโรงเรียนเปิดใหม่อีกครั้งหลังจากที่ปิดไปนาน

ส่วนความคิดที่ว่าโควิด-19 มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ยังมีความเป็นได้อยู่เช่นกัน ในสหรัฐอเมริกานั้น 26% ของเด็ก 123 คนที่เป็นโรคตับอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้ถูกวินิจฉัยว่าติดไวรัสซาร์สโควีทูมาก่อนที่จะเกิดอาการตับอักเสบ และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกากำลังศึกษาต่อไปว่าเด็กที่เหลือเคยติดไวรัสซาร์สโควีทูก่อนหน้านั้นแต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่[4]

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแนะนำให้แพทย์พิจารณาเกี่ยวกับตรวจเด็กว่าติดเชื้อไวรัสอะดิโนด้วยหรือไม่เมื่อมีกรณีเด็กป่วยเป็นโรคตับอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้ และถึงแม้ว่าในปัจจุบันไวรัสอะดิโนเป็นไวรัสหลักที่ถูกสงสัย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกายังทำการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่ให้เด็กป่วยเป็นโรคตับอักเสบ เช่น ยา อาหาร สารพิษ ว่าเป็นสาเหตุหรือมีส่วนทำให้เด็กป่วยเป็นโรคตับอักเสบรุนแรงหรือไม่

ในขณะเดียวกันผู้อำนวยการเกี่ยวกับโรคติดต่อของสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักรกล่าวว่าโอกาสที่เด็กจะป่วยเป็นโรคตับอักเสบรุนแรงก็ยังต่ำมากอยู่และสิ่งสำคัญคือการเตือนให้เด็กรักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่างๆ รวมถึงการติดเชื้อไวรัสอะดิโนด้วย

ผลของการศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเพื่อประเมินอัตราของโรคตับอักเสบรุนแรงในเด็กที่เผยแพร่ในรายงานการเจ็บป่วยและเสียชีวิตประจำสัปดาห์ (Morbidity and Mortality Weekly Report) ที่เผยแพร่ออนไลน์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565[5] เพื่อประเมินอัตราการเกิดของโรคตามปกติแสดงว่าอัตราของโรคตับอักเสบที่ไม่รู้สาเหตุในเด็กในสหรัฐอเมริกาไม่ได้เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 รวมถึงอัตราการปลูกถ่ายตับที่ไม่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม นอกจากนั้นแล้วอัตราการติดไวรัสอะดิโนในเด็กเล็กก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก่อนการระบาดของโควิด-19

(แต่ในรายงานคณะผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าในสหราชอาณาจักรนั้นอัตราโรคตับอักเสบในเด็กเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลในช่วงก่อนหน้าการระบาดของโควิด-19 สำหรับเปรียบเทียบทำให้เป็นเรื่องยากที่จะยืนยันอย่างแน่นอนได้)[6]

รายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคไม่ได้ระบุว่าอะไรทำให้เกิดโรคตับอักเสบรุนแรงในเด็กที่ไม่รู้สาเหตุได้ แต่รายงานนี้ตัดข้อสงสัยเกี่ยวกับบางเรื่องออกไปได้ เช่นข้อสงสัยว่าโควิด-19 เป็นสาเหตุ เพราะว่าอัตราการเป็นโรคตับอักเสบรุนแรงในเด็กของช่วงก่อนการระบาดโควิด-19 กับอัตราการเป็นโรคในระหว่างการระบาดของโควิด-19 ไม่ต่างกัน แต่ ดร. นพ. ไมเคิล ออสเตอร์ฮอม (Dr. Michael Osterholm) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตาเอ่ยว่าโควิด-19 อาจมีความเกี่ยวข้องทางอ้อมก็ได้ และข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเพียงแต่บอกว่าโควิด-19 ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคตับอักเสบเท่านั้น และกรณีของตับอักเสบในเด็กที่ไม่รู้สาเหตุที่เกิดเป็นกระจุกในรัฐอาลาบามาของสหรัฐอเมริกาและในสก็อตแลนด์อาจทำให้นักวิทยาศาสตร์มีโอกาสที่จะศึกษาและวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นสาเหตุของกรณีเหล่านี้

นพ. เจฟฟรีย์ ดูชิน (Dr. Jeffrey Duchin) เจ้าหน้าที่การแพทย์ประจำเมืองซีแอตเติลและคิงเคาน์ตี้ และศาสตราจารย์ด้านโรคติดต่อของมหาวิทยาลัยวอซิงตัน กล่าวว่าในการสืบสวนเกี่ยวกับโรคระบาดการมีข้อมูลพื้นฐาน (baseline data) เป็นเรื่องสำคัญมากในการแยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ออกจากสิ่งที่เพิ่งเป็นที่รู้กันเป็นครั้งแรก และการวิเคราะห์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคทำให้อุ่นใจว่าอัตราโรคตับอักเสบรุนแรงในเด็กไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ดร. ออสเตอร์ฮอม สรุปว่าจากข้อมูลที่ครอบคลุมของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคทำให้เราบอกได้ว่าการป่วยเป็นโรคตับอักเสบในเด็กที่ไม่รู้สาเหตุอาจเป็นสิ่งที่เกิดมานานแล้วก่อนการระบาดโควิด-19 แต่เป็นอัตราที่ตำ่มากจึงไม่เป็นที่สังเกตกันความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นต่อกรณีตับอักเสบที่ไม่รู้สาเหตุที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะช่วยในการระบุสาเหตุของโรคได้และย้ายบางกรณีออกจากกลุ่มของกรณีที่ไม่รู้สาเหตุได้ ดังนั้นการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาและสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักรกำลังทำการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีเหล่านี้ต่อไปอยู่

 

__________________

[1] CDC investigating 109 unusual hepatitis cases in kids in outbreak โดย Helen Branswell เมื่อ 6 พฤษภาคม 2565 ใน https://www.statnews.com/2022/05/06/cdc-looking-at-cases-of-109-children-in-suspected-hepatitis-outbreak/

[2] https://www.who.int/emergencies/disease-outbreak-news/item/DON-389

[3] WHO says 12 countries have reported unusual cases of hepatitis in kids โดย Helen Branswell เมื่อ 23 เมษายน 2565 ใน https://www.statnews.com/2022/04/23/who-says-12-countries-have-reported-unusual-cases-of-hepatitis-in-kids/

[4] Mysterious child hepatitis continues to vex researchers โดย Heidi Ledford เมื่อ 24 มิถุนายน 2565 ใน https://www.nature.com/articles/d41586-022-01706-y

[5] https://www.cdc.gov/mmwr/volumes/71/wr/mm7124e1.htm

[6] Study seeks to provide clues to seeming surge of hepatitis cases in kids โดย โดย Helen Branswell เมื่อ 17 มิถุนายน 2565 ใน https://www.statnews.com/2022/06/17/a-cdc-study-seeks-to-provide-clues-to-seeming-surge-of-hepatitis-cases-in-kids/