บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

การกินยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสเชื้อหรือเพร็พเป็นการป้องกันเอชไอวีที่ได้ผลดีมากหากผู้ใช้กินยาทุกวันในช่วงชีวิตที่มีความเสี่ยงต่อการติดเอชไอวีจากเพศสัมพันธ์ และผลของการวิจัยทางคลินิกหลายโครงการแสดงว่าสำหรับชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศนั้นการกินยาต้านไวรัสอย่างน้อยสี่วันต่ออาทิตย์ขึ้นไปก็ยังสามารถป้องกันการติดเอชไอวีได้ดี และการกินยาต้านไวรัสเฉพาะเวลาที่มีโอกาสสัมผัสกับไวรัสที่เป็นการใช้เพร็พที่เรียกว่า event-driven PrEP (การใช้เพร็พตามเหตุการณ์[เสี่ยง]หรือที่เรียกกันว่าการใช้เพร็พตามต้องการ) ที่กินยาต้านไวรัสก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงก็ยังสามารถป้องกันเอชไอวีได้ดีเช่นกัน

แต่การวิจัยหลายโครงการที่ทำในประเทศต่างๆ แสดงว่าผู้ใช้เพร็พจำนวนหนึ่งเลิกใช้เพร็พภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากที่เริ่มใช้เพร็พ

การวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) ที่รวมการวิจัยเพร็พ 59 โครงการวิจัยจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกแสดงว่า 41% ของผู้ที่เริ่มใช้เพร็พเลิกใช้ภายในเวลาหกเดือนหลังจากที่เริ่มใช้เพร็พ และสำหรับประชากรกลุ่มอื่นอัตราการเลิกใช้เพร็พสูงขึ้นไปอีก เช่น การวิจัยที่เกี่ยวกับชายและหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศอัตราการเลิกใช้เพร็พในหกเดือนหลังจากเริ่มใช้เพร็พสูงถึง 72% แต่การวิจัยบางโครงการที่ติดตามผู้ที่เลิกใช้เพร็พไปอีกเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแสดงว่า 47% ของผู้ที่เลิกใช้เพร็พไปแล้วกลับมาใช้เพร็พใหม่อีกครั้ง ผลของการวิเคราะห์อภิมานดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในวารสาร The Lancet ฉบับเดือนเมษายน 2565[1] และในเว็บไซต์ของ nam aidsmap มีข่าวสรุปผลการวิเคราะห์ดังกล่าว[2]

ในข่าวจาก nam aidsmap โดยกัส แคนส์ (Gus Cairns) ยกตัวอย่างผลของการติดตามผู้ใช้เพร็พในหลายประเทศที่แสดงว่าการใช้เพร็พมักจะเกิดเป็นช่วงๆ เช่นการสำรวจการใช้เพร็พในสหรัฐอเมริกาโครงการหนึ่งแสดงว่าเวลาการใช้เพร็พโดยเฉลี่ยเท่ากับหนึ่งปี และการสำรวจอีกโครงการหนี่งที่รวมผู้ใช้เพร็พ 7,148 คนที่ทำการสำรวจเมื่อปีคศ. 2015 แสดงว่าเพียง 40% ของผู้ใช้เพร็พในอเมริกาใช้เพร็พนานกว่า 2 ปี และการวิจัยโครงการที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสหรัฐอเมริกาพบว่า 52% ของผู้ที่เริ่มใช้เพร็พระหว่างปีคศ. 2012-2019 หยุดใช้เพร็พเป็นเวลาเกินกว่า 4 เดือนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่ 60% ของผู้ที่เลิกใช้เพร็พกลับไปใช้เพร็พใหม่ในเวลาต่อมา

การวิจัยในประเทศเคนย่าที่เผยแพร่ในวารสาร The Lancet Global Health เมื่อต้นปีนี้แสดงว่าจากผู้ที่เริ่มใช้เพร็พเกือบห้าพันคนมีเพียง 34% ที่ยังคงใช้เพร็พอยู่ในเดือนที่ 6 และลดลงเป็น 23% ภายหลังเดือนที่ 12 ส่วนโครงการสาธิต 3 โครงการจากทวีปอาฟริกาที่เสนอผลเมื่อปี 2020 แสดงว่าเพียง 19% ของผู้ที่เริ่มใช้เพร็พเป็นผู้ที่ใช้เพร็พเป็นประจำ และอีก 25% เป็นผู้ที่ใช้เพร็พเป็นครั้งคราว (episodic users) และการวิจัยเชิงคุณภาพจากประเทศอาฟริกาใต้ที่เผยแพร่ผลในปี 2021 แสดงว่าผู้หญิงชาวอาฟริกาใต้ปรับการใช้เพร็พตามสถานการณ์ต่างๆตั้งแต่สภาวะของความสัมพันธ์กับคู่ โอกาสที่คนน้ันจะประสบกับความรุนแรงทางเพศ และเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว

การวิเคราะห์อภิมานโครงการล่าสุดเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยจากประเทศจีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย การวิเคราะห์รวมการวิจัย 59 โครงการที่รวมผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวน 43,917 คน การวิจัยเกือบทั้งหมดเป็นการวิจัยเชิงสังเกต (observational studies) ที่เป็นการติดตามศึกษาการใช้เพร็พที่เกิดขึ้นจริงในบริบทต่างๆ ซึ่งแตกต่างไปจากการวิจัยทางคลินิกแบบสุ่มและควบคุม ในการวิเคราะห์นั้นนิยามของการหยุดใช้เพร็พหมายถึงรายงานเกี่ยวกับการหยุดใช้ (report of stopping) ผู้ใช้ไม่มารับยาเพิ่มตามกำหนด (failure to refill prescriptioins) หรือผู้เข้าร่วมการวิจัยที่สูญหายไประหว่างการวิจัยไม่สามารถติดตามได้โดยที่ไม่มีรายงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปใช้บริการอื่น

ในการวิเคราะห์ผลการวิจัยทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่คือการวิจัยที่ติดตามผู้ใช้เพร็พเป็นเวลาถึง 6 เดือนหรือน้อยกว่าหลังจากที่เริ่มใช้เพร็พ การวิจัยที่ติดตามผู้ใช้เพร็พเป็นเวลาตั้งแต่ 6 เดือนถึง 12 เดือน และการวิจัยที่ติดตามผู้ใช้เพร็พนานกว่า 12 เดือน

ผลของการวิเคราะห์อภิมานแสดงว่า 41% ของผู้ใช้เพร็พเลิกใช้เพร็พเมื่อ 6 เดือน และ 35% ของผู้ใช้เพร็พเลิกใช้เมื่อ 12 เดือน สาเหตุที่สัดส่วนของผู้ใช้เพร็พที่เลิกใช้เมื่อ 12 เดือนต่ำกว่าเมื่อ 6 เดือนเป็นเพราะหากผู้ที่เลิกใช้เพร็พเมื่อ 6 เดือนกลับมาใช้เพร็พใหม่ก่อนเดือนที่ 12 หรือหลังจากนั้นจะถูกนับว่าเป็นผู้ที่คงใช้เพร็พ

การวิจัยที่รวมอยู่ในการวิเคราะห์อภิมานนี้เป็นการวิจัยจากภูมิภาคต่างๆทั่วโลกซึ่งส่วนมากเป็นการวิจัยในสหรัฐอเมริกา (54%) ถัดมาเป็นการวิจัยในซับซาฮะร่าอาฟริกา (22%) การวิจัยจากอาเซียคิดเป็น 10% การวิจัยจากออสเตรเลียเท่ากับ 10% และที่เหลือ (3.4%) เป็นการวิจัยจากอเมริกาใต้

การวิจัยเกือบครึ่งหนึ่ง (47%) ผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนสองเพศและหญิงแปลงเพศ แต่ข้อมูลสำหรับหญิงแปลงเพศนั้นมีน้อยมากทำให้การวิเคราะห์อภิมานไม่สามารถแสดงผลของประชากรกลุ่มนี้แยกต่างหากจากกลุ่มอื่นได้

อัตราเฉลี่ยของการเลิกใช้เพร็พจากทุกภูมิภาคของกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศเท่ากับ 31% แต่สำหรับประชากรกลุ่มอื่นแล้วอัตราการเลิกใช้เพร็พสูงกว่านั้น สำหรับกลุ่มชายและหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศนั้นอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 72% สำหรับผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 62% สำหรับหญิงที่ให้บริการทางเพศเท่ากับ 51% และสำหรับการวิจัยสำหรับหญิงและเด็กสาวโดยเฉพาะนั้นอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 43%

อย่างไรก็ตามกัส แคนส์ นักข่าวของ nam aidsmap ตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนของการวิจัยที่เกี่ยวกับประชากรบางกลุ่มนั้นต่ำมาก เช่น การวิจัยที่เกี่ยวกับผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดมีเพียงโครงการเดียวที่รวมผู้เข้าร่วมการวิจัย 798 คน และมีการวิจัยเพียงสามโครงการที่เกี่ยวกับหญิงที่ให้บริการทางเพศซึ่งรวมผู้หญิงที่อยู่ในการวิจัยทั้งหมดเพียง 742 คน

มีการวิจัยหกโครงการที่เกี่ยวกับการใช้เพร็พตามต้องการในชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศซึ่งสำหรับการวิจัยหนึ่งโครงการ การใช้เพร็พตามต้องการเป็นวิธีการเดียวที่ใช้ในการวิจัยนั้นและการวิจัยดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมการวิจัย 361 คน อัตราการเลิกใช้เพร็พของการวิจัยที่เกี่ยวกับการใช้เพร็พตามต้องการนั้นต่ำพอสมควร สำหรับการวิจัยที่เป็นการใช้เพร็พแบบกินทุกวันเท่านั้นอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 31.5% และสำหรับการวิจัยที่มีการใช้เพร็พทั้งสองแบบนั้นอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 22% และสำหรับการวิจัยที่เกี่ยวกับการใช้เพร็พตามต้องการเมื่อมีเพศสัมพันธ์แต่เพียงอย่างเดียวซึ่งมีเพียงหนึ่งโครงการเท่านั้นอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 17.5%

อัตราการเลิกใช้เพร็พที่สูงที่สุดมาจากทวีปอาฟริกาซึ่งสูงถึง 47.5% แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าการวิจัยเพร็พทั้งหมดในอาฟริกาเป็นการวิจัยที่ทำกับประชากรกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศ

สำหรับภูมิภาคอื่นอัตราการเลิกใช้เพร็พจากทวีปอเมริกาเหนือเท่ากับ 38% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุด สำหรับภูมิภาคอาเซียและแปซิฟิกนั้นอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 33% แต่สำหรับทวีปยุโรปนั้นอัตราการเลิกใช้เพร็พเท่ากับ 17% และทวีปอเมริกาใต้เท่ากับ 9% แต่มีการวิจัยเพียงไม่กี่โครงการที่ทำในอเมริกาใต้

ดังที่กล่าวไปแล้วอัตราการเลิกใช้เพร็พเมื่อ 12 เดือนหรือที่ยาวกว่านั้นต่ำกว่าอัตราการเลิกใช้เพร็พเมื่อ 6 เดือน (หรือ 35% เทียบกับ 41% ตามลำดับ) และสำหรับชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศแล้วอัตราทั้งสองไม่ต่างกันมากนัก (27% ต่อ 31.5%) และจากการวิจัยโครงการหนึ่งท่ีทำในผู้หญิงและเด็กสาวที่ติดตามการใช้เพร็พยาวกว่าหกเดือนขึ้นไป อัตราการเลิกใช้เพร็พต่ำเพียง 10% เท่านั้น

อัตราการติดเอชไอวีรายใหม่จะสูงกว่าในการวิจัยที่มีผู้เลิกใช้เพร็พเป็นจำนวนมาก แต่อัตราการติดเชื้อรายใหม่ไม่ได้สูงมากนักในทุกโครงการวิจัย แต่อัตราการเลิกใช้เพร็พจะสูงขึ้นในการวิจัยในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศในประเทศที่อัตราการติดเอชไอวีรายใหม่ต่อปีสูงกว่า 0.5% ซึ่งในกรณีนี้อัตราการเลิกใช้เพร็พจะสูงถึง 33% เปรียบเทียบกับ 24% ในการวิจัยที่อัตราการติดเอชไอวีรายใหม่ต่อปีต่ำกว่า 0.5% และอัตราการเลิกใช้เพร็พในทุกกลุ่มจะสูงขึ้นไปอีกในการวิจัยที่ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับอัตราการติดเอชไอวีรายใหม่

สำหรับการวิจัยที่ถามผู้เข้าร่วมการวิจัยถึงสาเหตุที่เลิกใช้เพร็พนั้น สาเหตุที่ถูกอ้างบ่อยที่สุดคือไม่ชอบผลข้างเคียงที่รุนแรง (25 โครงการวิจัย) และคิดว่าความเสี่ยงของตนต่ำ (21 โครงการวิจัย) ส่วนสาเหตุอื่นที่คิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คนเลิกใช้เพร็พกลับต่ำกว่าที่คาด สาเหตุเหล่านั้นรวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการกินยาทุกวัน (7 โครงการ) และการย้ายภูมิลำเนา (7 โครงการ)

กัส แคนส์ อธิบายเพิ่มเติมว่าการวิจัยในประเทศเคนย่าที่เอ่ยถึงไปแล้วนั้น การวิจัยดังกล่าวพบว่าสาเหตุที่คนจำนวนมากเริ่มใช้เพร็พคือคู่เพศสัมพันธ์ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเอชไอวีและเมื่อคู่เพศสัมพันธ์ที่มีเอชไอวีสามารถควบคุมปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำจนวัดไม่ได้แล้วผู้ที่ใช้เพร็พก็จะเลิกใช้เพร็พ นอกจากนั้นแล้วการวิจัยเพร็พอีกโครงการหนึ่งจากอาฟริกาที่เป็นการวิจัยขนาดใหญ่สาเหตุหนึ่งที่คนใช้เพร็พคือความรู้สึกว่าเสี่ยงต่อการติดเอชไอวี ดังนั้นอาจจำเป็นที่จะต้องนิยามความหมายของ “ความเสี่ยง” ให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

วินัยในการกินยาอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากการประเมินอัตราการเลิกใช้เพร็พแล้วการวิเคราะห์อภิมานยังประเมินวินัยในการกินยาอย่างสม่ำเสมอ (adherence) ด้วย การประเมินวินัยในการกินยาของการวิเคราะห์อภิมานนี้รวมถึงการวัดระดับยาโดยตรง การรายงานโดยผู้ใช้เพร็พเอง (self-report) หรือข้อมูลจากเภสัชกรเกี่ยวกับการรับยาเพิ่มหรือการเติมยา ซึ่งรวมการวิจัยทั้งหมดในการวิเคราะห์ 24 โครงการที่มีผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้งหมด 10,183 คน

สำหรับผู้ที่ใช้เพร็พแบบที่กินทุกวัน นิยามของวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ได้ผลดี (สำหรับกรณีที่ไม่สามารถวัดระดับยาโดยตรงได้) หมายถึงข้อมูลของการรับยาเพิ่มที่แสดงว่าการใช้ยาต่ำกว่า 80% ของจำนวนยาที่ได้รับไปซึ่งเทียบได้กับการกินยา 5.6 วันต่ออาทิตย์ หรือการรายงานการกินยาด้วยตัวเองที่ต่ำกว่า 90% ของยาที่ได้รับไป ทั้งนี้นักวิจัยจงใจที่จะกำหนดระดับอย่างระมัดระวังที่ต่ำไว้ก่อนเพราะคำนึงถึงความจริงที่ว่าคนมักจะประเมินวินัยในการกินยาของตนสูงกว่าความเป็นจริง

อัตราเฉลี่ยของวินัยการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ได้ผลดีเท่ากับ 38% และเช่นเดียวกับอัตราการเลิกใช้เพร็พ วินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรในประชากรกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศจะสูงกว่ากลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศ 75% ของผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดมีวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควร สำหรับหญิงบริการทางเพศ 62% มีวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควร สำหรับการวิจัยที่เกี่ยวกับกลุ่มหญิงที่มีอัตลักษณ์ทางเพศสอดคล้องกับเพศสรีระเป็นการเฉพาะนั้น 56%  ของหญิงที่เข้าร่วมการวิจัยมีวินัยในการกินยาที่ต่ำ และสำหรับกลุ่มชายและหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงกันข้ามนั้น 49% มีวินัยในการกินยาที่ต่ำ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อวินัยในการกินยาอีกปัจจัยหนึ่งคืออายุ สำหรับกลุ่มที่มีอายุ 24 ปีหรือต่ำกว่านั้น จากรายงานโดยผู้เข้าร่วมการวิจัยวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรเท่ากับ 62.5% เปรียบเทียบกับ 34% ของกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 24 ปี

อัตราของวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรมักจะสอดคล้องกับอัตราของการเลิกใช้เพร็พ ยกเว้นด้านเดียวคือความยาวของการติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัย ในขณะที่อัตราการเลิกใช้เพร็พจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเพราะผู้ที่เลิกใช้เพร็พกลับมาใช้ เพร็พใหม่อีกรอบ วินัยในการกินยาจะแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่โดยรวมแล้ววินัยในการกินยาของการวิจัยทั้งหมดจะไม่ลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งอัตราของวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรเมื่อประเมินเมื่อหกเดือนหลังจากที่เริ่มใช้เพร็พหรือในระยะเวลาที่สั้นกว่าหกเดือนเท่ากับ 38% และเพิ่มเป็น 43% หากการติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัยนานกว่า 12 เดือน และอัตราของวินัยในการกินยาที่ต่ำจะเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่มของชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศที่อัตราของวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรในการวิจัยที่ติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นเวลาน้อยกว่า 6 เดือนที่เท่ากับ 27.5% จะเพิ่มเป็น 47% ในการวิจัยที่ติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นเวลา 12 เดือนหรือนานกว่า

สำหรับการวิจัยโครงการหนึ่งที่ทำในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศที่ประเมินวินัยในการกินยาของการใช้เพร็พแบบต้องการ อัตราการกินยาในระดับที่ตำ่กว่าระดับที่ควรเท่ากับ 29% เปรียบเทียบกับ 36% จากการวิจัยโครงการต่างๆที่เกี่ยวกับการใช้เพร็พทุกวัน แต่การวิจัยดังกล่าวเป็นเพียงการวิจัยโครงการเดียวที่เป็นการวิจัยขนาดเล็กและที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้เพร็พตามต้องการแต่เพียงอย่างเดียว

อัตราการติดเอชไอวีรายใหม่มีความสัมพันธ์กับวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรที่ชัดเจนกว่าการเลิกใช้เพร็พ ในการวิจัยทุกโครงการ อัตราของวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรเท่ากับ 51% ในการวิจัยที่รายงานว่าอัตราการติดเอชไอวีรายใหม่ต่อปีสูงกว่า 0.5% เปรียบเทียบกับ 36% ในการวิจัยที่มีอัตราการติดเอชไอวีรายใหม่ต่อปีต่ำกว่า 0.5% ในการวิจัยที่เกี่ยวกับชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศ อัตราของวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรของการวิจัยที่มีอัตราการติดเอชไอวีรายใหม่ต่อปีสูงกว่า 0.5% เท่ากับ 55.5% เปรียบเทียบกับ 31% ในการวิจัยที่มีอัตราการติดเอชไอวีรายใหม่ต่อปีต่ำกว่า 0.5%

การเริ่มใช้เพร็พใหม่อีกครั้ง

มีการวิจัยเพียง 8 โครงการเท่านั้นที่ประเมินสัดส่วนของผู้ที่เริ่มใช้เพร็พใหม่อีกครั้งหลังจากที่เลิกใช้ไปแล้ว ในการวิจัยสามโครงการที่ติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นเวลาหกเดือนหรือสั้นกว่า สัดส่วนของผู้เริ่มใช้เพร็พใหม่เป็นเพียง 18%

แต่การวิจัยที่ติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัยนานกว่า 12 เดือนจะมีผู้ที่เริ่มใช้เพร็พใหม่มากขึ้น จากการวิจัยห้าโครงการ การวิจัยขนาดเล็กเพียงโครงการเดียวที่เกี่ยวกับการใช้เพร็พตามต้องการในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย อัตราการใช้เพร็พใหม่เท่ากับ 13% แต่สำหรับการวิจัยไอเพร็กซ์โอเล (iPrEX OLE) ที่เป็นการวิจัยแบบเปิดฉลากสำหรับกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศนั้นอัตราการเริ่มใช้เพร็พใหม่สูงถึง 39% และการวิจัยขนาดใหญ่ในเคนย่าและอูแกนดา อัตราการเริ่มใช้เพร็พใหม่เท่ากับ 50% สำหรับการวิจัยในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือหญิงแปลงเพศที่ดำเนินการโดยคลินิกสุขภาพทางเพศในเมืองบอสตัน อัตราการเริ่มใช้เพร็พใหม่สูงถึง 69% และการวิจัยขนาดเล็กที่ทำในกลุ่มชายผิวดำอายุน้อยที่เป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับชายในเมืองแอตแลนต้านั้น อัตราการเริ่มใช้เพร็พใหม่เท่ากับ 65%

อัตราโดยรวมของการเริ่มใช้เพร็พใหม่เท่ากับ 37% ในทุกโครงการ และสำหรับการวิจัยที่มีการติดตามผู้เข้าร่วมการวิจัยนานกว่า 12 เดือนนั้น อัตราการเริ่มใช้เพร็พใหม่เท่ากับ 47%

นักวิจัยของการวิเคราะห์อภิมานสรุปว่า 70% ของผู้ใช้เพร็พหากไม่หยุดใช้เพร็พก็มีวินัยในการกินยาที่ต่ำกว่าระดับที่ควรภายในหกเดือนหลังจากที่เริ่มใช้เพร็พ ดังนั้นยุทธศาสตร์สำหรับส่งเสริมให้คนเริ่มใช้เพร็พใหม่อีกสำหรับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่หรือที่ยังคงมีอยู่ควรเป็นจุดโฟกัสของการขยายผลกาารใช้เพร็พในอนาคต

ผลของการวิเคราะห์แสดงถึงความสำคัญของการติดตามผู้ใช้เพร็พอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้เพร็พใหม่ซึ่งย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าในช่วงเริ่มต้นนั้นคงมีผู้ใช้เพร็พจำนวนพอสมควรที่เจอกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่ทำให้การกินยาทุกวัน (โดยเฉพาะยาสำหรับเอชไอวีและผู้กินมีสุขภาพดีไม่ใช่ผู้ป่วย) ที่ทำให้พวกเขาไม่สะดวกในการกินยาหรือแอบกินยาอย่างต่อเนื่อง การประเมินความพร้อมและการให้การปรึกษาเพื่อเตรียมตัวผู้ใช้เพร็พรายใหม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน และผู้ให้บริการควรตระหนักว่าการเลิกใช้เพร็พและการกลับใจตัดสินใจมาใช้เพร็พใหม่สำหรับคนจำนวนหนึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความเสี่ยงของแต่ละบุคคลเป็นพลวัตรที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และการเคารพการติดสินใจของผู้ใช้เพร็พหรือผู้ที่ต้องการเลิกใช้เพร็พเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน การด่วนตัดสินใจหรือการประนามผู้ที่เลิกใช้เพร็พควรเป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงเพราะการประนามจะเป็นวิธีการที่ค่อนข้างแน่นอนที่จะรับประกันว่าบุคคลนั้นจะไม่กลับมาใช้เพร็พอีกครั้ง (หรืออย่างน้อยจะไปรับบริการเพร็พที่อื่นแทน)

________________

[1] Discontinuation, suboptimal adherence, and reinitiation of oral HIV pre-exposure prophylaxis: a global systematic review and meta-analysis ใน https://www.thelancet.com/journals/lanhiv/article/PIIS2352-3018(22)00030-3/fulltext

[2] Four in ten PrEP recipients stop taking it within six months, global meta-analysis reveals โดย Gus Cairns เมื่อ 20 เมษายน 2565 ใน https://www.aidsmap.com/news/apr-2022/four-ten-prep-recipients-stop-taking-it-within-six-months-global-meta-analysi