บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

การวิจัยที่วิเคราะห์ข้อมูลของผู้มีเอชไอวีจำนวนหลายแสนคนจากทั่วโลกแสดงว่าการติดเอชไอวีจากเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิงมีความรุนแรงมากกว่าการติดเอชไอวีจากเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย[1] ผลของการวิจัยระดับโลกดังกล่าวซึ่งแสดงว่าช่องทางการแพร่เชื้อเอชไอวีมีผลต่อความรุนแรงของโรคได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ PLOS Pathogens เมื่อ 10 มีนาคม 2565[2]

ศาสตราจารย์ ดร. นาเรนดรา ดิกซิส นักวิจัยอาวุโส จากศูนย์สำหรับวิทยาศาสตร์ชีวภาพและวิศวกรรมของสถาบันวิทยาศาตร์ของประเทศอินเดีย (Indian Institute of Science’s Center for Biosystems Science and Engineering) และ ดร. อนันธุ เจมส์ (Dr. Ananthu James) นักสถิติและนักระบาดวิทยาของสถาบันวิทยาศาสตร์ของประเทศอินเดียคัดเลือกข้อมูลจากผู้มีเอชไอวีจำนวน 337,119 คน ที่รวบรวมจากการวิจัยต่างๆในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และจีน และการวิจัยเน้นแต่การติดเอชไอวีหนึ่ง (HIV-1) ซึ่งเป็นเอชไอวีที่มีความรุนแรงและระบาดมากทั่วโลก

ในการวิเคราะห์ข้อมูล ศ. ดิกซิส และ ดร. เจมส์ รวบรวมจำนวนซีดีสี่ (CD4) เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเอชไอวีและเมื่อก่อนเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสของผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้งหมด และแบ่งการวิจัยเหล่านี้ออกเป็นสองกลุ่มตามการแพร่เชื้อ – กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศ (bisexual men) เปรียบเทียบกับกลุ่มของผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศ (heterosexuals)

จากข้อมูลที่คัดเลือกมานักวิจัยทั้งสองพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (mathematical model) เพื่อประเมินว่าแต่ละกลุ่มอาจจะเกิดอาการป่วยเป็นเอดส์เร็วแค่ไหนเมื่อคำนึงถึงจำนวนซีดีสี่เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ

การวิเคราะห์แสดงว่าจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศสูงกว่าจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศอย่างสม่ำเสมอ เช่น จำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่เมื่อได้รับการวินิจฉัยของกลุ่มการศึกษากลุ่มหนึ่งจากยุโรปที่เป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศเท่ากับ 437 เซลล์/มล. เปรียบเทียบกับจำนวนเฉลี่ย 307 เซลล์/มล. ของผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศ และจากข้อมูลของสหรัฐอเมริกาจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศเท่ากับ 390 เปรียบเทียบกับ 314 ของผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศ และจากผลของประเทศจีนก็ยังเป็นเช่นนั้น จำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศเท่ากับ 368 เปรียบเทียบกับ 270 ของผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศ

ผลการวิเคราะห์ที่แสดงว่าจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศสูงกว่าจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศยังคงเป็นเหมือนเดิมเมื่อเปรียบเทียบตามอายุของผู้เข้าร่วมการวิจัย ในสหรัฐอเมริกานั้นเป็นกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 13 ถึง 29 ปี ส่วนในยุโรปและออสเตรเลียนั้นเป็นกลุ่มคนที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

แต่ข้อมูลของยุโรปและออสเตรเลียแสดงว่าจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (heterosexual women) ที่อายุน้อยกว่า 40 ปีสูงกว่าจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่ของทั้งชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิง แต่ความแตกต่างนี้ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และโดยรวมแล้วชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายมีจำนวนเฉลี่ยของซีดีสี่สูงกว่าผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศหากว่าไม่วิเคราะห์ข้อมูลแยกตามกลุ่มอายุ

ส่วนปริมาณไวรัสเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเอชไอวีที่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อพัฒนาการของโรคไม่มีผลต่อความแตกต่างระหว่างทั้งสองกลุ่ม

นักวิจัยกล่าวว่าผลของการวิเคราะห์เป็นเรื่องที่คนส่วนมากไม่คาดกันมาก่อนว่าความแตกต่างของจำนวนซีดีสี่จะเป็นเพราะช่องทางในการแพร่เชื้อที่ต่างกัน

จากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ นักวิจัยทั้งสองประมาณว่าโอกาสที่ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศซึ่งมีจำนวนซีดีสี่ต่ำกว่าเมื่อได้รับการวินิจฉัยจะป่วยเป็นเอดส์จะสูงกว่าชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศประมาณ 19% แต่ผลของการวิจัยจะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไรนั้นยังไม่แน่นอน และ ศ. ดิกซิส หวังว่าข้อมูลเช่นนี้จะถูกนำไปวิเคราะห์ทางโมเลกุลเกี่ยวกับสายพันธุ์ของเอชไอวีที่ระบาดในกลุ่มผู้มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศและในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายมีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศเพื่อดูว่าเอชไอวีสายพันธุ์ที่หมุนเวียนในกลุ่มคนมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศแตกต่างไปจากเอชไอวีสายพันธุ์ที่หมุนเวียนในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและชายมีเพศสัมพันธ์กับคนทั้งสองเพศหรือไม่ และอาจเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากกว่าด้วยหรือไม่ ซึ่งมีการวิจัยก่อนหน้านี้ที่เสนอว่าจำนวนซีดีสี่อาจใช้เป็นตัวแทนของความรุนแรงของไวรัสได้[3]

นักวิจัยอธิบายว่าช่องทางของการแพร่เชื้อมีผลต่อความรุนแรงของเอชไอวีเป็นเพราะว่าในระหว่างการแพร่เชื้อนั้นไวรัสอาจจะเผชิญกับอุปสรรคในเนื้อเยื่อที่จะป้องกันไม่ให้มันทำให้เซลล์ของผู้ที่ได้รับเชื้อเกิดการติดเชื้อได้ อุปสรรคดังกล่าวเรียกว่าคอขวด (bottleneck) ที่เกี่ยวกับหลายขั้นตอนตั้งแต่จากไวรัสเอชไอวีที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายของผู้มีเชื้อจะมีไวรัสเพียงจำนวนหนึ่งที่ไปรวมกันอยู่ที่ระบบสืบพันธ์ุของบุคคลนั้นซึ่งในการย้ายไปยังบริเวณเฉพาะที่นั้นไวรัสกลุ่มนั้นจะต้องคงรักษาชีวิตของมันไว้ ต่อมาเมื่อไวรัสกลุ่มนี้ผ่านเข้าไปสู่ระบบสืบพันธุ์ของผู้ที่ได้รับเชื้อแล้วมันจะต้องพยายามฝังตัวสร้างรกรากอยู่ในแหล่งใหม่อย่างมั่นคงก่อนซึ่งจะเป็นผลทำให้เกิดการติดเชื้อเฉพาะที่ (local infection) ขึ้น หลังจากนั้นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเฉพาะที่จึงจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆทำให้เกิดการติดเชื้อทั้งระบบ (systemic infection) ซึ่งช่วงก่อนที่การติดเชื้อเฉพาะที่จะเปลี่ยนไปเป็นการติดเชื้อทั้งระบบนี้นักวิจัยคาดว่าจะเกิดภาวะคอขวดเกิดขึ้น[4]

คอขวดที่หนาแน่นทำให้ไวรัสจำนวนมากข้ามไปได้ยากทำให้ไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ที่ช่วยทำให้มันแข็งแรงมากขึ้นหรือในมุมมองของวิวัฒนาการหมายถึงการกลายพันธุ์ที่ทำให้มัน “ฟิตขึ้นกว่าเดิม” ซึ่งหมายถึงทำให้มันมีความรุนแรงมากขึ้น

ผลของการวิจัยนี้ได้รับการเผยแพร่ภายหลังจากข่าวที่กล่าวว่าเอชไอวีที่ระบาดในประเทศเนเธอร์แลนด์มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วเป็นเอชไอวีสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมาก ซึ่งความรุนแรงในที่นี้หมายถึงไวรัสเอชไอวีที่แพร่ระบาดได้ดีมากและนำไปสู่ปริมาณไวรัสที่สูงและระดับของซีดีสี่ลดลงเร็วกว่าเอชไอวีสายพันธุ์อื่น ทำให้สื่อหลายสำนักเผยแพร่ผลของการวิจัยนี้ต่อๆไปและขยายความว่าเป็นการแพร่เชื้อที่รุนแรงเป็นการแพร่เชื้อทางการร่วมเพศด้วยองคชาตกับช่องคลอค

นักวิจัยบางคนคิดว่าการวิจัยดังกล่าวมีประเด็นบางอย่างที่สามารถปรับปรุงได้อยู่ นพ. ทิโมทิ เฮนริช (Dr. Timothy Henrich) รองศาสตราจารย์แพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก อธิบายว่ากรณีของเนเธอร์แลนด์นั้น นอกจากการวัดจำนวนซีดีสี่แล้วนักวิจัยที่เกี่ยวข้องยังทำการวิเคราะห์จีโนมของเอชไอวีด้วย แต่การวิจัยที่นำโดยศ. ดิกซิส นั้นโดยแก่นแท้แล้วเป็นการวิเคราะห์อภิมาณ (meta-analysis) ขนาดใหญ่ที่รวมการศึกษากลุ่มประชากรหลายโครงการจากหลายๆประเทศแต่ไม่มีการวิเคราะห์จีโนมของไวรัสอย่างละเอียด ซึ่งผลที่ได้เป็นเพียงสังเกตการณ์ที่น่าสนใจแต่ต้องระมัดอย่าด่วนสรุปผลที่ได้จนเกินไป

สิ่งที่ นพ. เฮนริช ต้องการรู้เพิ่มเติมมีหลายเรื่อง เช่น วิธีการที่นักวิจัยใช้ในการประเมินจำนวนซีดีสี่ และการวิเคราะห์ผลมีการควบคุมระยะเวลาตั้งแต่เมื่อได้รับเชื้อหรือไม่ซึ่งนพ. เฮนริช อธิบายเพิ่มเติมว่าทีมวิจัยใช้จำนวนซีดีสี่ที่คงที่แล้วในการประเมินซึ่งเป็นระดับของซีดีสี่หลังจากการติดเชื้อใหม่ที่จำนวนซีดีสี่ลดลงจนอยู่ในระดับที่คงตัวแล้วแต่ไม่เป็นที่รู้แน่ว่าการติดเชื้อเกิดตั้งแต่เมื่อไร และการวิจัยดังกล่าวไม่ได้แยกแยะระหว่างการติดเชื้อระยะเฉียบพลันกับการติดเชื้อระยะเรื้อรัง

แต่ นพ. เฮนริช คิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนคือการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากๆเช่นนี้จะมีผลทำให้เราต้องคิดและศึกษาต่อๆไปเกี่ยวกับการแพร่เชื้อและความรุนแรงของเชื้อและผลกระทบของมันต่อการดูแลรักษาผู้มีเอชไอวี นพ. เฮนริช เน้นว่าหากการวิเคราะห์โมเลกุลของเอชไอวีสนับสนุนผลของการวิจัยโดย ศ. ดิกซิส แล้ว การวิจัยนี้อาจช่วยกำกับทิศทางการทำงานเพื่อรักษาผู้มีเอชไอวีต่อไปในอนาคต แต่ นพ. เฮนริช คิดว่าโอกาสเช่นนั้นคงไม่สูงมาก (หมายเหตุ 3)

ศาสตราจารย์ นพ. ชยาม คอททิลิล (Prof. Dr. Shyam Kottilil) ศาสตราจารย์แพทยศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาที่เกี่ยวกับมนุษย์ (Institute of Human Virology) ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ประทับใจเกี่ยวกับขนาดของการวิจัยมาก แต่คิดว่าการวิจัยของ ศ. ดิกซิส ยังมีจุดอ่อนอยู่บ้าง

เอชไอวีสายพันธุ์ที่ระบาดมากในสหรัฐอเมริกาเป็นเอชไอวีสายพันธุ์บี (B clade) และมีเอชไอวีอย่างน้อยเก้าสายพันธุ์ที่ระบาดในที่ต่างๆทั่วโลก และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ควบคุมไม่ได้ (แต่ในเอกสารเผยแพร่ผลการวิจัย คณะผู้เขียนกล่าวว่าการวิจัยโครงการต่างๆแสดงว่า 90% ของผู้มีเอชไอวีที่เป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับชายติดเอชไอวีสายพันธุ์บี และเพียง 10% เท่านั้นของผู้มีเอชไอวีที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศติดเอชไอวีสายพันธุ์บี)

นอกจากนั้นแล้ว ศ. คอททิลิล กล่าวว่าระดับของเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลงมากรวมถึงการเปลี่ยนแปลงระหว่างวันต่อวันจึงทำให้มันเป็นตัวชี้วัดที่ไม่แน่นอนในการกำหนความรุนแรงของการติดเชื้อแต่ละกรณี และศ. คอททิลิล กล่าวว่าเป็นที่รู้กันว่าความรุนแรงของการติดเชื้อจะพุ่งสูงมากภายหลังการติดเชื้อใหม่ๆแต่จะลดลงในภายหลัง

แต่สิ่งที่สำคัญมากประการหนึ่งคือผลของการวิจัยนี้ต่อการรักษาผู้มีเอชไอวี ซึ่งศาสตราจารย์ พญ.โมนิกา คานธี (Prof. Monica Gandhi) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจากมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ MedicalNewsToday ว่าเอกสารวิชาการชิ้นนี้มีความสำคัญมาก แต่จำเป็นที่จะต้องมีการวิจัยอื่นๆเพื่อยืนยันผลของการวิจัยนี้ แต่สำหรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีแล้วผลของการวิจัยนี้ไม่ควรเปลี่ยนผลลัพธ์ของการรักษาระหว่างผู้มีเอชไอวีที่มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างเพศเปรียบเทียบกับผู้ที่มีเอชไอวีที่เป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับชายแต่อย่างใด[5]

 

_____________

[1] ชื่อของการวิจัยระบุว่าเอชไอวีมีความรุนแรงกว่าในเพศสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเพศ แต่ในสื่อบางสื่อผลของการวิจัยถูกขยายความว่าการติดเอชไอวีจะมีความรุนแรงกว่าเมื่อแพร่จากการร่วมเพศระหว่างองคชาตกับช่องคลอด (penile-vaginal intercourse)

[2] https://journals.plos.org/plospathogens/article?id=10.1371/journal.ppat.1010319

[3] MSM Have Higher CD4 Counts at HIV Diagnosis Than Heterosexuals โดย Heather Boerner เมื่อ 10 มีนาคม 2565 ใน https://www.medscape.com/viewarticle/970098

[4] ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก เช่น The HIV-1 transmission bottleneck โดย Samuel Mundia และคณะ ใน https://retrovirology.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12977-017-0343-8

[5] HIV-1 infections more virulent in heterosexual people โดย Eleanor Bird เมื่อ 23 มีนาคม 2565 ใน https://www.medicalnewstoday.com/articles/why-are-hiv-infections-more-virulent-in-heterosexual-people