บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

ยาต้านไวรัสเพื่อรักษาโควิด-19: สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังอยากรู้[1]

ยาต้านไวรัสสำหรับรักษาโควิด-19 เช่น โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) อาจทำให้การระบาดเปลี่ยนทิศทางได้หากว่าผลจากการวิจัยทางคลินิกคงเป็นเช่นนั้นเมื่อนำไปใช้ในภาวะจริง

ในช่วงเวลาเพียงเดือนเดียวนักวิจัยค้นพบว่าในการวิจัยทางคลินิกยาต้านไวรัสสองชนิดซึ่งเป็นยาชนิดกินทั้งคู่สามารถลดการป่วยโควิด-19 อาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลและการตายจากโควิด-19 ได้หากผู้ป่วยได้รับรักษาโดยเร็วหลังจากที่ติดเชื้อ

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 สหราชอาณาจักร (United Kingdom) เป็นประเทศแรกที่ให้อนุมัติแก่ยาต้านไวรัสโมลนูพิราเวียร์ที่ผลิตโดยบริษัทเมอร์ค (Merck) ร่วมกับบริษัทริดจ์แบ็ก ชีวบำบัด (Ridgeback Biotherapeutics) ซึ่งการอนุมัตินี้เกิดขึ้นเพียงเดือนกว่าหลังจากที่ผู้ผลิตประกาศผลว่ายาต้านไวรัสที่มีชื่อทางการค้าว่า ลาเจฟรีโอ (Lagevrio) สามารถลดความเสี่ยงต่อการป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลในผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเบาหรือปานกลางได้ถึงครึ่งหนึ่ง

หากว่าผลของการวิจัยยังคงเป็นเช่นนั้นในภาวะจริงแล้ว ยาทั้งสองนี้อาจเป็นสิ่งที่พลิกสถานการณ์ของการระบาดนี้ได้ ทางเลือกอื่นในการรักษาโควิด-19 ที่มีอยู่ก่อนล้วนแต่เป็นการรักษาที่แพงหรือที่สำหรับใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น ส่วนยาใหม่ทั้งสองชนิดนี้เป็นยาที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและสามารถใช้ที่บ้านได้ ชาร์ลส กอร์ (Charles Gore) ผู้อำนวยการของแหล่งรวมสิทธิบัตรยา (Medicines Patent Pool) ที่เป็นองค์การที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติเพื่อขยายการเข้าถึงยากล่าวว่า​“ยาทั้งสองนี้ควรผลิตได้ในราคาที่ไม่แพง สำหรับส่วนใหญ่ของโลกที่การฉีดวัคซีนยังไม่ดีพอนั้น เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สวรรค์ให้มา”

แต่ประเด็นว่ายาจะมีผลดีแค่ไหนและจะใช้ยาเหล่านี้ได้ง่ายแค่ไหนในที่ที่จำเป็นต้องใช้มันมากที่สุดเป็นเรื่องที่ยังไม่ค่อยรู้กัน มีปัจจัยหลายประการที่อาจช่วยในการตัดสินใจว่ายาต้านไวรัสใหม่นี้จะช่วยกำหนดวิถีทางของโรคระบาดนี้ได้อย่างไร

ยาต้านไวรัสใหม่นี้มีประสิทธิผลแค่ไหน

หากประเมินจากการแถลงข่าว ยาทั้งสองจะช่วยลดการต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และอาจเป็นไปได้ว่าจะช่วยลดการตายจากโควิด-19 ได้หากว่าเริ่มให้ยาโดยเร็วหลังจากที่ติดเชื้อ แต่ยังมีข้อมูลที่สำคัญหลายอย่างที่ขาดหายไปซึ่งจะต้องรอจนกว่าผลการวิจัยทางคลินิกที่ครบถ้วนจะถูกเผยแพร่

ศาสตราจารย์ จอห์น เมลเลอร์ส (Prof. John Mellors) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย พิตส์เบิร์ก (University of Pittsburgh Medical Center) กล่าวว่านักวิจัยจะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอายุและเชื้อชาติของผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยของทั้งสองโครงการ และข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพของผู้เข้าร่วมการวิจัยเหล่านั้น

เนื่องจากยาต้านไวรัสต่างๆมักจะมีประสิทธิผลดีหากให้โดยเร็วในช่วงต้นๆของการติดเชื้อ ดังนั้น ศ. เมลเลอร์ส จะต้องดูรายละเอียดว่ายาทั้งสองชนิดให้เมื่อไรและเวลาที่ให้ยานั้นมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของยาอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นพอที่จะช่วยบอกได้ว่าโอกาสในการรักษานั้นปิดเมื่อไร การวิจัยทั้งสองโครงการไม่มีผู้เข้าร่วมการวิจัยมากเพียงพอที่จะให้ข้อสรุปได้อย่างหนักแน่นเกี่ยวกับศักยภาพของยาในการป้องกันการเสียชีวิต แต่ในกลุ่มผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้รับยาไม่มีผู้ที่เสียชีวิตเลย[2]

นอกจากนั้นแล้วนักวิจัยยังต้องการรู้ถึงเบาะแสต่างๆ (รวมถึงข้อมูลที่จะได้จากการวิจัยทางคลินิกที่จะทำต่อไปในอนาคต) ว่ายาจะมีผลต่อการแพร่ไวรัสโคโรนาต่อไปอย่างไร หรือป้องกันการป่วยในผู้ที่ประสบกับเชื้อไปแล้ว

นพ. เจอโรม คิม (Dr. Jerome Kim) ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนนานาชาติ (International Vaccine Institute) จากกรุงโซลเกาหลีใต้ กล่าวว่าหากว่ายาต้านไวรัสทั้งสองสามารถป้องกันการแพ่รเชื้อต่อไปและการป่วยในผู้ที่ประสบกับเชื้อได้ การใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับวัคซีนจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการควบคุมการระบาด ตัวอย่างเช่น หากว่ามีไวรัสผันแปรที่น่าเป็นห่วงโผล่ออกมาในภูมิภาคหนึ่ง คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากไวรัสผันแปรนั้นจะได้รับยาต้านไวรัสสำหรับเสริมภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากการฉีดวัคซีนที่จะช่วยควบคุมไวรัสและป้องกันไม่ให้มันแพร่กระจายต่อไปและนำไปสู่ความเป็นไปได้ต่างๆที่ช่วยให้เราคิดเกี่ยวกับการควบคุมการระบาด และจะเป็นสิ่งที่มีผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง

ยาต้านไวรัสทั้งสองปลอดภัยหรือไม่

ทั้งไฟเซอร์และเมอร์ครายงานว่าร่างกายของผู้เข้าร่วมการวิจัยยอมรับยาต้านไวรัสของบริษัทได้และผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นเป็นอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง แต่ยาทั้งสองมีคุณสมบัติบางอย่างที่จำกัดว่าใครสามารถใช้ยานั้นได้บ้าง

เมื่อโมลนูพิราเวียร์ถูกผนวกเข้าไปในอาร์เอ็นเอ (RNA) ของไวรัสโคโรนามันจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในจีโนม (ข้อมูลทางพันธุกรรม) ของไวรัสเมื่อไวรัสพยายามที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น การกลายพันธุ์นำไปสู่การทำงานผิดพลาดหลายๆอย่างจนกระทั่งไวรัสไม่สามารถอยู่รอดได้

ส่วนเซลล์ของมนุษย์เป็นจีโนมดีเอ็นเอ (DNA) การวิจัยในห้องปฏิบัติการบางโครงการบ่งชี้ว่าโมลนูพิราเวียร์อาจทำให้เกิดการกลายพันธ์ุของดีเอ็นเอเช่นกัน

การรักษาด้วยโมลนูพิราเวียร์ยาวเพียงห้าวัน แต่หน่วยงานควบคุมกำกับเกี่ยวกับความปลอดภัยของยาอาจต้องระมัดระวังโดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับการรักษาหญิงตั้งครรภ์ และ นพ. คิม กล่าวว่าอาจต้องมีคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยานี้เพราะว่าความเสี่ยงที่อาจเป็นไปได้นี้

ยาแพ็กซ์โลวิดทำงานโดยยับยั้งเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงขยายตัวเพิ่มขึ้นของไวรัส แต่แพ็กซ์ โลวิดต้องใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าริโทนาเวียร์ (ritonavir) ที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เอ็นไซม์ในตับให้ย่อยสลายแพ็กซ์โลวิดก่อนที่แพ็กซ์โลวิดจะมีโอกาสทำงานในการทำให้ไวรัสไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้ ริโทนาเวียร์เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการรักษาเอชไอวีด้วยการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ซึ่งริโทนาเวียร์อาจมีผลต่อการทำงานของร่างกายในการย่อยสลายยาอื่น และมียาหลากหลายชนิดมากที่ไม่ควรใช้ร่วมกับริโทนาเวียร์รวมถึงยาบางอย่างที่เป็นที่นิยมใช้กันมากในการรักษาโรคหัวใจ ยาที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง และยาที่ลดอาการเจ็บปวด

ซึ่งหมายความว่าจะมีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถใช้แพ็กซ์โลวิดร่วมกับริโทนาเวียร์ได้ แต่ ศ. เมลเลอร์ส กล่าวว่าการใช้ยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิดเป็นคอร์สที่สั้นเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นแพทย์ผู้ให้การรักษาอาจมีวิธีการในการหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับปฏิกิริยาระหว่างยาต่างชนิดได้ ซึ่งแพทย์จะมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้ภายในระยะเวลาสั้นๆอีกมากมายว่าเมื่อไรที่ควรจะใช้ยานี้และเมื่อไรควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้

ยาต้านไวรัสทั้งสองจะใช้ได้ผลกับไวรัสผันแปรที่น่ากังวล (variants of concern) หรือไม่

ในทางทฤษฎีแล้วยาต้านไวรัสทั้งสองควรมีประสิทธิผลต่อไวรัสผันแปรต่างๆที่เป็นที่รู้จักกันแล้ว รวมถึงไวรัสผันแปรเดลต้า (Delta variant) ที่แพร่ระบาดได้ดีมากด้วย ไวรัสผันแปรต่างๆส่วนมากเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโปรตีนเดือยของไวรัสรวมทั้งส่วนอื่นๆของไวรัสที่เป็นเป้าหมายของระบบบภูมิคุ้มกันและวัคซีน

แต่เป้าหมายของโมลนูพิราเวียร์และแพ็กซ์โลวิดเป็นเป้าหมายอื่น ศ. เมลเลอร์ส เตือนว่านักวิจัยยังต้องแสดงว่ายาต้านไวรัสทั้งสองใช้ได้ผลกับไวรัสผันแปรต่างๆ เมอร์คได้ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการที่แสดงว่าโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิผลต่อไวรัสผันแปรเดลต้าและไวรัสผันแปรอื่นๆรวมทั้งไวรัสผันแปรเบต้า (Beta variant) ที่ถูกระบุเป็นครั้งแรกในอาฟริกาใต้

แต่เรื่องที่เป็นที่กังวลอีกอย่างคือการที่โมลนูพิราเวียร์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในจีโนมของไวรัสโคโรนาซึ่งอาจนำไปสู่ไวรัสผันแปรที่ควรกังวลชนิดใหม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ ศ. เมลเลอร์ส คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ผลของการวิจัยในห้องปฏิบัติการหลายการวิจัยแสดงว่าโมลนูพิราเวียร์ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์มากมายในแต่ละจีโนมของไวรัสซึ่งยิ่งมีการกลายพันธ์ุมากในจีโนมโอกาสที่การกลายพันธุ์เหล่านั้นจะทำให้ไวรัสอ่อนแอลงยิ่งมีมากขึ้น และ ศ. เมลเลอร์ส กล่าวว่าโอกาสที่การกลายพันธุ์มากมายนี้จะทำให้ไวรัสทำงานได้ดีขึ้นนั้นต่ำมาก

ไวรัสโคโรนาจะดื้อต่อยาต้านไวรัสได้หรือไม่

การดื้อยาเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้และเป็นเหตุผลสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสบางอย่าง เช่น ไวรัสเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบซี ที่ต้องใช้ยาต้านไวรัสหลายชนิดร่วมกัน ศาสตราจารย์ แคทเธอรีน ซีลีย์-แรดกี้ (Prof. Katherine Seley-Radtke) นักเคมีทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์เน้นว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราจำเป็นที่จะต้องมีการรักษาแบบผสมผสาน

เท่าที่เป็นอยู่โมลนูพิราเวียร์และแพ็กซ์โลวิดถูกทดลองแบบการรักษาด้วยการใช้ยาเพียงชนิดเดียว และการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์โดยบริษัทแห่งหนึ่ง (Airfinity) จากกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 แสดงว่ามีการวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการรักษาแบบผสมผสานเพียง 16 โครงการที่จะรับผู้เข้าร่วมการวิจัยมากกว่า 100 คนขึ้นไป และการวิจัยทั้ง 16 โครงการนี้ไม่เกี่ยวกับโมลนูพิราเวียร์หรือแพ็กซ์โลวิด และส่วนใหญ่เป็นการวิจัยการใช้ยาอื่นร่วมกับยาต้านมาเลเรียไฮดร็อกซี่คลอโรควิน (hydroxychloroquine) ซึ่งเป็นยาที่ถูกทดลองแบบยาเดี่ยวที่แสดงซ้ำแล้วซำ้อีกว่ายาไม่มีผลต่อการรักษาโควิด-19 ในการวิจัยทางคลินิกที่มีมาตรฐานการวิจัยสูงหลายโครงการ

ศาสตราจารย์ นพ. ดักลาส ริชแมน (Prof. Douglas Richman) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในแซนดิอาโก กล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องศึกษาผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาโมลนูพิราเวียร์หรือแพ็กซ์โลวิดเพื่อดูว่าไวรัสดื้อยาเป็นสาเหตุที่ทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือไม่ และนักวิจัยควรติดตามดูผู้ที่ได้รับยาทั้งสองที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออย่างใกล้ชิดเพราะว่าการติดเชื้อในคนกลุ่มนี้อาจจะนานกว่าปกติซึ่งจะเป็นโอกาสให้เกิดการดื้อยาขึ้นได้

[นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันกล่าวว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไวรัสโคโรนาเกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แต่หัวหน้าทีมเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนายาของไฟเซอร์กล่าวว่ายาต้านไวรัสของไฟเซอร์มีพลังแรงพอที่จะป้องกันไวรัสผันแปรต่างๆและมีประสิทธิผลที่สูงมากอยู่แล้ว และการใช้ยาของไฟเซอร์ร่วมกับยาอื่นอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงอื่นๆมากขึ้นไปอีก][3]

ผู้ที่จะเข้าถึงยาใหม่นี้ได้

ในปลายเดือนตุลาคมเมอร์คได้เซ็นสัญญากับแหล่งรวมสิทธิบัตรยา (Medicines Patent Pool) เพื่อออกใบอนุญาตสำหรับทรัพย์สินทางปัญญาที่จำเป็นสำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง 105 ประเทศในการผลิตโมลนูพิราเวียร์โดยที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ให้แก่บริษัทต้นตำรับ และมีบริษัทผลิตยาสามัญ (generic drug) หลายบริษัทที่ได้เริ่มผลิตโมลนูพิราเวียร์แล้ว

ไฟเซอร์ได้เซ็นสัญญากับแหล่งรวมสิทธิบัตรยาเช่นกันในกลางเดือนพฤศจิกายนที่จะอนุญาตให้ประเทศยากจนและรายได้ปานกลางรวมทั้งประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงบางประเทศในซับซาฮาร่าอาฟริกาผลิตยาสามัญของแพ็กซ์โลวิดได้ แต่สัญญาของไฟเซอร์ครอบคลุม 95 ประเทศที่ไม่รวม 17 ประเทศที่ครอบคลุมโดยสัญญาของเมอร์ค

กอร์ ผู้อำนวยการของแหล่งรวมสิทธิบัตรยา กล่าวว่าทั้งสองบริษัทแสดงความมุ่งมั่นต่อการกำหนดราคายาตามรายได้ของประเทศ (tier pricing) ที่ประเทศยากจนและประเทศรายได้ปานกลางจะซื้อยาได้ในราคาที่ถูกกว่าประเทศร่ำรวย

แต่ทรัพย์สินทางปัญญาไม่ใช่อุปสรรคเดียวของการเข้าถึงยา ความกังวลอีกอย่างคือการตรวจการติดเชื้อ การที่จะให้ยาได้เร็วในช่วงต้นของการติดเชื้อหมายถึงประเทศต่างๆจำเป็นต้องมีชุดตรวจการติดเชื้ออย่างเพียงพอ นพ. คิม กล่าวว่าหลายประเทศมีช่องว่างมากเกี่ยวกับการตรวจการติดเชื้อ เราไม่ต้องการจ่ายยาให้แก่ผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายกับโควิด-19 แต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงไข้หวัดใหญ่

ประเทศร่ำรวยหลายประเทศได้สั่งซื้อยาทั้งสองไปแล้ว ซึ่งการซื้อล่วงหน้าเพื่อตุนยาไว้ใช้ต่อไปนั้นจะดูดซับยาที่จะผลิตได้ไปเป็นจำนวนมากทำให้การเข้าถึงยาในภูมิภาคอื่นของโลกลดลง ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือสิ่งที่เกิดกับวัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบัน

ข้อตกลงที่เมอร์คและไฟเซอร์ทำกับแหล่งรวมสิทธิบัตรยาที่ยกเว้นค่าลิขสิทธิ์ในการผลิตยาสามัญของโมลนูพิราเวียร์และแพ็กซ์โลวิดจะมีผลบังคับใช้ตราบที่องค์การอนามัยโลกยังระบุว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern)

ควรที่จะใช้ยาต้านไวรัสกับผู้ที่ติดเชื้อหลังจากที่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วหรือไม่

ทั้งเมอร์คและไฟเซอร์ทำการวิจัยในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยโควิดที่มีอาการหนักและที่ยังไม่ได้รับฉีดวัคซีน ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องพิจารณาว่าควรใช้ยาต้านไวรัสของทั้งสองบริษัทในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหลังจากที่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วหรือไม่ คำถามน้ียังไม่มีคำตอบ (หมายเหตุ 3)

การวิจัยของยาต้านไวรัสที่พัฒนาโดยบริษัทอะเทีย (Atea) ร่วมกับบริษัทโรช (Roche) แสดงว่ายาไม่มีประสิทธิผลในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่นักวิเคราะห์คิดว่าการที่ยาไม่ได้ผลอาจเป็นเพราะการวิจัยรวมผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วด้วย ซึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนแล้วโอกาสในการป่วยและตายจากโควิด-19 จะต่ำมากซึ่งหมายความว่าจะเป็นเรื่องยากมากที่ยาจะแสดงถึงประสิทธิผลของมันเพราะว่าจำนวนการติดเชื้อที่ยาจะต้องป้องกันมีน้อยมาก

ดังนั้นทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวกับการควบคุมกำกับความปลอดภัยและคุณภาพของยาและหน่วยงานด้านสาธารณสุขจะต้องตัดสินใจชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงกับผลประโยชน์ของยาต้านไวรัสต่อผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนโควิดแล้วโดยที่ไม่มีข้อมูลโดยตรงเกี่ยวกับประชากรกลุ่มนี้

ไฟเซอร์กำลังทำการวิจัยที่รวมผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วด้วยและคาดว่าจะรู้ผลการวิจัยในปีหน้า นอกจากนั้นแล้ว  เมอร์คและไฟเซอร์มีการวิจัยที่จะพิสูจน์ว่ายาต้านไวรัสของตนสามารถป้องกันผู้ที่ติดเชื้อไม่ให้มีอาการป่วยได้หากว่ากินยาต้านไวรัสหลังจากที่สัมผัสกับเชื้อแล้ว

ยาต้านไวรัสทั้งสองเปรียบเทียบกับโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibodies) ได้หรือไม่

องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้อนุมัติแก่โมโนโคลนอลแอนติบอดีของบริษัทรีเจนเนอรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ (Regeneron Pharmaceuticals) และของบริษัทอีไล ลิลลี (Eli Lilly) สำหรับรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ  ผลของการวิจัยทางคลินิกระยะที่สามแสดงว่าโมโนโคลนอลแอนติบอดีของบริษัทรีเจนเนอรอนสามารถลดการป่วยโควิด-19 อาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือการตายจากโควิด-19 ได้ถึง 70% และการวิจัยทางคลินิกที่คล้ายกันแสดงว่าโมโนโคลนอลแอนติบอดีของบริษัทอีไล ลิลลี มีประสิทธิผล 87% ในการลดการป่วยโควิด-19 อาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือการตายจากโควิด-19

ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างการรักษาด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดีกับยาต้านไวรัสคือความสะดวก โมโนโคลนอลแอนติบอดีต้องให้ทางเส้นเลือด 1 ครั้งที่จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และต้องทำที่โรงพยาบาล (โมโนโคลนอลแอนติบอดีของรีเจนเนอรอนได้รับอนุมัติให้ใช้ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหากว่าไม่สามารถให้ทางเส้นเลือดได้) ดังนั้นยาต้านไวรัสทั้งของเมอร์คและไฟเซอร์จะได้เปรียบกว่าเพราะสามารถใช้เองที่บ้านได้และจะเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถไปโรงพยาบาลหรือคลินิกเพื่อรับโมโนโคลนอลแอนติบอดีได้

นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อแตกต่างเกี่ยวกับราคา รีเจนเนอรอนและอีไล ลิลลี ได้ทำสัญญาที่จะขายโมโนโคลนอลแอนติบอดีให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในราคาประมาณ 1,250 เหรียญ (40,963 บาท) ต่อโด๊ส ส่วนเมอร์คได้ทำสัญญากับรัฐบาลอเมริกาที่จะขายยาโมลนูพิราเวียร์ให้แก่รัฐบาลในราคาประมาณ 700 เหรียญ (22,942 บาท) ต่อคอร์สห้าวัน และไฟเซอร์กำลังเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและคาดว่าราคายาแพ็กซ์โลวิดต่อคอร์ส (ห้าวัน) จะใกล้เคียงกับโมลนูพิราเวียร์

ยาต้านไวรัสจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาการระบาดเพราะจะทำให้มีเครื่องมือทางการแพทย์ให้เลือกใช้มากขึ้น แต่เช่นเดียวกับยาต่างๆ การใช้ยาต้านไวรัสยังต้องคำนึงถึงปฏิกิริยาระหว่างยาต่อยา (drug-drug interaction) ของคนที่เป็นโรคเรื้อรังอื่นด้วย เช่น ยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิดซึ่งเป็นยาต้านไวรัสกลุ่มโปรติเอสอินฮิบีเตอร์ (protease inhibitor) ที่แพทย์ด้านโรคระบาดรู้จักดีและเป็นยากลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะขัดขวางการทำงานของยารักษามะเร็งหลายชนิด นอกจากนั้นแล้วยาริโทนาเวียร์ที่ต้องกินร่วมกับแพ็กซ์โลวิดจะมีปฏิกิริยากับยาอีกหลายชนิด ดังนั้นการใช้ยาแพ็กซ์โลวิดจะต้องไตร่ตรองอย่างระมัดระวังและรอบคอบ

ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์มีนักวิจัยจำนวนหนึ่งที่กังวลต่อความเป็นไปได้ที่โมลนูพิราเวียร์จะมีผลกระทบต่อดีเอ็นเอของคน ถึงแม้ว่าเมอร์คจะยืนยันว่าจากผลของการทดลองในสัตว์ที่เกี่ยวกับโมลนูพิราเวียร์ในโด๊สที่สูงกว่าและให้เป็นเวลานานกว่าที่ใช้ในคนแสดงว่าโมลนูพิราเวียร์ไม่ทำให้ดีเอ็นเอกลายพันธุ์ แต่ศาสตราจารย์ โรนัลด์ สวานสตรัม (Prof. Ronald  Swanstrom) ศาสตราจารย์ด้านชีวเคมี (biochemistry) จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาไม่แน่ใจเท่าไรเพราะการวัดที่เมอร์คใช้ในการวิจัยนั้นไม่ไวเพียงพอและกล่าวว่าจากการวิจัยที่เขาทำร่วมกับคนอื่นและเผยแพร่ในวารสาร The Journal of Infectious Diseases แสดงว่าโมลนูพิราเวียร์อาจทำให้ดีเอ็นเอของสัตว์เปลี่ยนแปลงไปได้ (หมายเหตุ 3)

แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสทั้งสองใช้เวลาเพียงห้าวัน ประโยชน์ที่จะได้รับจากยาทั้งประโยชน์โดยตรงต่อผู้ป่วยเองและประโยชน์ต่อเนื่องอื่นๆ รวมถึงการลดภาระต่อระบบสาธารณสุข จะมากกว่าความเสี่ยงของยาท้ังความเสี่ยงท่ีเป็นที่รู้กันแล้วและความเสี่ยงทางทฤษฎี และหากอุปสรรคเกี่ยวกับการเข้าถึงยาถูกจำกัดออกไปแล้ว ยาต้านไวรัสทั้งสองย่อมจะเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการควบคุมการระบาดของโควิด-19

 

_______________________________________________________________________

[1] จาก COVID antiviral pills- what scientists still want to know โดย Heidi Ledford เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.nature.com/articles/d41586-021-03074-5

[2] การวิจัยของเมอร์คมีผู้เข้าร่วมการวิจัยที่เสียชีวิตเพราะโควิด 8 คน และการวิจัยของไฟเซอร์มีผู้เสียชีวิต 10 คน ผู้ที่เสียชีวิตทุกคนของการวิจัยทั้งสองโครงการเป็นผู้ที่ได้รับยาเลียนแบบ

[3] จาก 8 lingering questions about the new Covid pills from Merck and Pfizer โดย STAT Staff เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.statnews.com/2021/11/15/8-lingering-questions-about-the-new-covid-pills-from-merck-and-pfizer/