บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ
เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564 บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการวิจัยทางคลินิกที่แสดงว่ายาต้านไวรัสของบริษัทมีประสิทธิผลสูงมากในการป้องกันการป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยหนักหากได้รับยารักษาโดยเร็วเมื่อเริ่มมีอาการป่วย
ข่าวใน The New York Times กล่าวว่าดูเหมือนว่ายาของไฟเซอร์จะมีประสิทธิผลสูงกว่ายาที่คล้ายกันของบริษัทเมอร์ค (Merck) ที่กำลังรอการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอยู่ ยาของไฟเซอร์มีชื่อทางการค้าว่า “แพ็กซ์โลวิด” (Paxlovid) ลดความเสี่ยงของการป่วยเป็นโควิด-19 ที่มีอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเนื่องจากโควิด-19 ได้ถึง 89% หากว่าเริ่มรักษาด้วยยาแพ็กซ์โลวิดภายใน 3 วันหลังจากที่มีอาการป่วย[1]
ในแถลงข่าวไฟเซอร์อธิบายว่าคณะกรรมการติดตามกำกับการวิจัยทางคลินิกซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระจากไฟเซอร์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยแนะนำให้หยุดการวิจัยก่อนกำหนดเพราะประโยชน์ของยาต่อคนไข้ได้รับการพิสูจน์แล้วอย่างไม่มีข้อสงสัยใดใด และบริษัทไฟเซอร์มีแผนที่จะนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้แก่องค์การอาหารและยาโดยเร็วที่สุดเพื่อขออนุญาตใช้ยาดังกล่าวในสหรัฐอเมริกาโดยเร็วที่สุด
ยาต้านไวรัสเพื่อรักษาโควิด-19 ท้ังที่พัฒนาโดยไฟเซอร์และเมอร์คเป็นยาชนิดกินที่ผู้ป่วยอาจนำไปใช้เองที่บ้านได้ซึ่งจะทำให้คนจำนวนมากเข้าถึงยาได้เพราะสะดวกกว่าการรักษาด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibodies) ที่ต้องให้ทางเส้นเลือดแบบให้นำ้เกลือที่คลินิกหรือโรงพยาบาล
การที่มียาชนิดกินที่ใช้ง่ายและที่สามารถลดการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลจะช่วยลดความรุนแรงของการแพร่ระบาดได้เป็นอย่างมากและจะช่วยให้ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม อย่างน้อยในประเทศที่พัฒนาแล้วที่คนส่วนมากได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 จนครบแล้ว
ทั้งยาจากไฟเซอร์และเมอร์คถูกพัฒนาเป็นการเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการป่วยหนัก เช่น ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปี หรือที่มีปัญหาบางอย่าง เช่น อ้วน ที่เพิ่มโอกาสที่จะป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนักให้แก่คนเหล่าน้ัน
ไฟเซอร์คาดว่าจะสามารถผลิตยาแพ็กซ์โลวิดสำหรับคนจำนวนมากกว่า 180,000 คนภายในสิ้นปีนี้ และสำหรับคน 21 ล้านคนภายในกลางปีหน้า ซึ่งบริษัทเมอร์คก็มีแผนที่จะเพิ่มการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) เป็นอย่างมากภายในปีหน้าเช่นกัน
ในการใช้ดูเหมือนว่ายาโมลนูพิราเวียร์จะได้เปรียบกว่ายาแพ็กซ์โลวิดเล็กน้อยเพราะเป็นยาเม็ดเดียวส่วนแพ็กซ์โลวิดต้องกินร่วมกับยาริโทนาเวียร์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วแพ็กซ์โลวิดจะสะดวกกว่าเพราะรวมจำนวนยา 30 เม็ดสำหรับคอร์สห้าวัน (ยา PF-07321332 [ชื่อทางการของแพ็กซ์โลวิด] สองเม็ด และยาริโทนาเวียร์หนึ่งเม็ดรวมทั้งหมด 3 เม็ดในการกินยาแต่ละครั้ง และต้องกินสองครั้งต่อวันติดต่อกันห้าวัน) ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ของเมอร์คนั้นผู้ป่วยต้องกินยาทั้งหมด 40 เม็ด (ครั้งละ 4 เม็ด 2 ครั้งต่อวัน) สำหรับคอร์สห้าวัน
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เจรจากับไฟเซอร์เพื่อซื้อยาสำหรับ 1.7 ล้านคอร์ส และรัฐบาลสหรัฐอเมริกายังมีทางเลือกสำหรับสั่งซื้อยาแพ็กซ์โลวิดเพิ่มอีก 3.3 ล้านคอร์ส ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวคล้ายกับสัญญาที่รัฐบาลทำกับเมอร์คเพื่อสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ และคาดว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะซื้อยาทั้งสองในราคา 700 เหรียญต่อคอร์ส
นอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ประเทศร่ำรวยอีกหลายประเทศเช่น อังกฤษ และ ออสเตรเลีย ได้สั่งซื้อยาแพ็กซ์โลวิดเพื่อกักยา (ที่จะถูกผลิต) ไว้ก่อนเช่นกัน
ไฟเซอร์กล่าวว่าจะลดราคายาแพ็กซ์โลวิดให้แก่ประเทศยากจน และบริษัทกำลังเจรจากับแหล่งรวมสิทธิบัตรยา (หรือ Medicines Patent Pool ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่องค์กรสหประชาชาติให้การสนับสนุนอยู่) เพื่อให้บริษัทยาอื่นผลิตยาแพ็กซ์โลวิดในราคาถูกสำหรับจำหน่ายในประเทศยากจน
ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ทดลองยาแพ็กซ์โลวิดเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการป่วยโควิด-19 รุนแรง และไฟเซอร์มีแผนที่จะทำการวิจัยสำหรับแพ็กโลวิดในผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำและผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว และการวิจัยอีกโครงการหนี่งจะเป็นการวิจัยในผู้ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันกับผู้ที่ติดไวรัสโคโรนา
ผลเกี่ยวกับประสิทธิผลของแพ็กซ์โลวิดที่เปิดเผยโดยไฟเซอร์เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน มาจากข้อมูลของผู้เข้าร่วมการวิจัยที่เป็นผู้ใหญ่จำนวนกว่า 1,200 คนในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นที่ได้รับยาแพ็กซ์โลวิดหรือยาเลียนแบบหลังจากที่ติดเชื้อ การวิจัยรับผู้เข้าร่วมการวิจัยในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสผันแปรเดลต้ากำลังระบาดไปทั่วโลก ผู้เข้าร่วมทั้งหมดยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และมีคุณสมบัติที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงจากไวรัสอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่น อายุมาก อ้วน หรือเป็นเบาหวาน
ผลการวิเคราะห์ระหว่างการวิจัย (interim analysis) แสดงว่าจากผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้กินยาแพ็กซ์โลวิด 389 คนไม่มีผู้เข้าร่วมการวิจัยของกลุ่มนี้ที่เสียชีวิตเนื่องจากโควิด-19 เลย ส่วนผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้กินยาแพ็กซ์โลวิดที่มีอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลมีไม่ถึง 1% (3 คน) เปรียบเทียบกับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้กินยาเลียนแบบ 7 คน (จาก 385 คน) ที่เสียชีวิตเนื่องจากโควิด-19 และ 7% (27 คน) มีอาการป่วยรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล[2]
ผลดังกล่าวแสดงว่าแพ็กซ์โลวิดมีประสิทธิผล 89% ในการลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตจากโควิด-19 หากผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้รับยาภายในสามวันหลังจากที่เริ่มมีอาการ
สำหรับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้รับยาในวันที่สี่หรือห้าหลังจากที่เริ่มมีอาการแล้ว ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้กินยาเลียนแบบที่ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตมี 41 คนเปรียบเทียบกับผู้เข้าร่วมการวิจัย 6 คนที่ได้รับยาแพ็กซ์โลวิดคิดเป็นประสิทธิผล 85% ในการลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนักหรือเสียชีวิตเพราะโควิด-19
(ประสิทธิผลของโมลนูพิราเวียร์ในการลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนักหรือการเสียชีวิตจากโควิด-19 จะเท่ากับ 50% แต่การเปรียบเทียบระหว่างยาของไฟเซอร์กับยาของเมอร์คจะเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่แน่นอนเพราะการวิจัยทั้งสองมีการออกแบบที่ต่างกันและเวลาของการเริ่มให้ยาที่ต่างกัน)
ถึงแม้ว่าประสิทธิผลของโมโนโคลนอลแอนติบอดีในการลดความเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตจะประมาณ 70% แต่การรักษาวิธีนี้ราคาแพงและเป็นวิธีการรักษาที่ยุ่งยาก
ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้รับยาแพ็กซ์โลวิดมีอาการข้างเคียงน้อยกว่าผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้รับยาเลียนแบบซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีเกี่ยวกับความปลอดภัยของยาแพ็กซ์โควิดเพราะแสดงว่าอาการป่วยจากโควิด-19 เป็นปัญหามากกว่าอาการข้างเคียงที่เกิดจากยาแพ็กซ์โลวิด
แพ็กซ์โลวิดมีประวัติย้อนหลังไป 19 ปีเพราะเป็นยาสำหรับให้ทางเส้นเลือดเหมือนกับการให้น้ำเกลือที่ไฟเซอร์พัฒนาสำหรับรักษาโรคซาร์ส (SARS) ที่ระบาดอยู่ในขณะนั้น และไฟเซอร์ดัดแปลงยานี้ใหม่สำหรับรักษาโควิด-19 และเป็นยาชนิดกินที่จะสะดวกในการใช้มากกว่าการให้ทางเส้นเลือด
แพ็กซ์โลวิดเป็นยาต้านไวรัสกลุ่มโปรติเอสอินฮิบีเตอร์ (protease inhibitor) เช่นเดียวกับยาที่ใช้รักษาเอชไอวีและตับอักเสบซี ยากลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสโคโรนาขยายตัวเพิ่มขึ้นได้โดยการกีดกั้นปฏิกิริยาของเอนไซม์ที่ไวรัสโคโรนาใช้ในการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในเซลล์ และไฟเซอร์กล่าวว่าผลของการวิจัยเกี่ยวกับแพ็กซ์โลวิดโครงการต่างๆแสดงว่าแพ็กซ์โลวิดมีความปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งแสดงความกังวลต่อโมลนูพิราเวียร์ของเมอร์คที่ทำให้การถอดรหัสเกี่ยวกับพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาทำงานผิดพลาดทำให้ไวรัสไม่สามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ นักวิจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิจัยของเมอร์คคิดว่ายาโมลนูพิราเวียร์มีความเสี่ยงทางทฤษฎีอยู่โดยทำให้ดีเอ็นเอของคนเปลี่ยนแปลงไปที่อาจนำไปสู่ทารกมีความผิดปกติหรืออาจทำให้เป็นมะเร็งได้ (หมายเหตุ 2)
อังกฤษท่ีเป็นประเทศแรกที่รัฐบาลอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ของเมอร์ค แนะนำไม่ให้ใช้โมลนูพิราเวียร์ในการรักษาหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่กำลังเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา หรือหญิงที่อาจตั้งครรภ์ได้ในระหว่างการกินยาโมลนูพิราเวียร์หรือสี่วันหลังจากกินยาครบคอร์สแล้ว
แพ็กซ์โลวิดและริโทนาเวียร์เป็นยาต้านไวรัสกลุ่มโปรติเอสอินฮิบีเตอร์จะทำให้การแปลงพันธ์ุของไวรัสที่นำไปสู่การดื้อยายากขึ้นเพราะแทนที่จะปรับตัวเพียงแบบเดียวเพื่อต่อต้านยาเพียงชนิดเดียว ไวรัสจะต้องปรับตัวมากกว่าสองแบบเพื่อที่จะต่อต้านยาทั้งสองชนิดได้[3]
ยาต้านไวรัสสำหรับรักษาโควิด-19 ทั้งสองจะใช้ได้ผลดีต่อเมื่อเริ่มให้ยาโดยเร็วหลังจากที่มีอาการป่วย และโดยหลักการแล้วการมียาเม็ดที่ผู้ป่วยสามารถกินเองได้ที่บ้านไม่ต้องไปโรงพยาบาลจะเป็นประโยชน์ทั้งในการลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต และบรรเทาภาระของสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ท่ีต้องดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนัก แต่การที่ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาจะเริ่มกินยาเองที่บ้านก่อนที่อาการป่วยจะรุนแรงนั้นหมายถึงว่ายาจะต้องมีราคาถูกที่คนจำนวนมากสามารถซื้อตามใบสั่งยาของแพทย์ได้ แต่การที่จะไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์สั่งยานั้นโดยมากผู้ป่วยต้องมีอาการหนักพอสมควรซึ่งอาจพ้นระยะเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเริ่มยาทั้งสองแล้วก็ได้ ดังนั้นการใช้ยาทั้งสองอย่างเป็นประโยชน์ที่สุดจำเป็นต้องมีบริการอื่นๆรองรับด้วย เช่น การตรวจการติดเชื้อที่รู้ผลเร็ว มีแพทย์ที่จะวินิจฉัยยืนยันและสั่งยาให้ มียาในราคาที่ถูกพอเพียงเมื่อแพทย์สั่งยาแล้วผู้ป่วยสามารถได้รับยาโดยเร็ว และการติดตามการกินยาของแต่ละคนว่ากินยาถูกต้องและครบทั้งคอร์ส
ผู้เข้าร่วมการวิจัยของยาทั้งสองเป็นคนที่มีความเสี่ยงต่อการป่วยโควิด-19 อาการหนักสูงกว่าคนโดยทั่วไป เช่น ผู้สูงอาย และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยในการคัดเลือกผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ให้เริ่มกินยาโดยเร็วหลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าติดเชื้อจริง และในการออกแบบบริการต่างๆเพื่อสร้างความตระหนักให้แก่คนที่มีความเสี่ยงรู้ถึงบริการต่างๆที่จำเป็นรวมถึงการจัดสรรยาให้พร้อมและช่องทางในการเข้าถึงยาที่เหมาะกับคนที่มีความเสี่ยงสูงกลุ่มต่างๆ
ไม่ว่ายาทั้งสองจะได้รับการยืนยันว่ามีผลดีก็ตาม (ซึ่งในการนำไปใช้จริงในประชากรกลุ่มใหญ่และนอกบริบทการวิจัย ประสิทธิผลของยาทั้งสองจะลดลงกว่าประสิทธิผลจากการวิจัยทางคลินิกบ้างเพราะปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่สามารถกินยาได้อย่างถูกต้องหรือเริ่มกินยาในช่วงเวลาที่ดีที่สุด) แต่ยาทั้งสองไม่ใช่สิ่งทดแทนการฉีดวัคซีน ทั้งการฉีดวัคซีนและการกินยารักษาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญและเสริมกันในการควบคุมการระบาด
เช่นเดียวกับวัคซีนโควิด-19 ถึงแม้ว่าจะมีวัคซีนที่มีประสิทธิผลสูงมากก็ตามแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากร ยาต้านไวรัสสำหรับรักษาโควิด-19 ทั้งสองชนิดก็เช่นกัน การมียาที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีแต่เพียงอย่างเดียวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาเท่าน้ัน สิ่งที่สำคัญมากอีกประการคือการเข้าถึงยาราคาถูกและในเวลาที่รวดเร็ว และจากบทเรียนเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ที่มีข่าวเกี่ยวกับไฟเซอร์ตั้งเงื่อนไขต่างๆมากมายสำหรับรัฐบาลที่ต้องการซื้อวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไปใช้ที่เป็นการเอาเปรียบและแสดงถึงการปัดภาระการรับผิดชอบของไฟเซอร์ไปให้แก่รัฐบาลในกรณีที่ไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้ตามกำหนดและอื่นๆ ทำให้นักรณรงค์และนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ติดตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่แน่ใจเกี่ยวกับการรับปากของไฟเซอร์ในเรื่องการลดราคายาแพ็กซ์โลวิดให้แก่ประเทศยากจนเท่าไรนัก
_____________________________________________________________________________________
[1] จาก Pfizer Says Its Antiviral Pill Is Highly Effective in Treating Covid โดย Rebecca Robbins เมื่อ 5 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.nytimes.com/2021/11/05/health/pfizer-covid-pill.html
[2] จาก Experimental Pfizer pill prevents Covid hospitalizations and deaths โดย Matthew Herper เมื่อ 5 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.statnews.com/2021/11/05/experimental-pfizer-pill-prevents-covid-hospitalizations-and-deaths/
[3] จาก Pfizer oral antiviral safe and effective against SAR-CoV-2 โดย Hannah Flynn เมื่อ 8 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.medicalnewstoday.com/articles/pfizer-oral-antiviral-safe-and-effective-against-sars-cov-2