บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ
โควิดยืดยาวหรือ long COVID โดยรวมแล้วหมายถึงอาการต่างๆที่ยังคงเป็นอยู่หลังจากท่ีอาการเกี่ยวกับการติดเชื้อหายไปแล้วที่รวมถึงสุขภาพทางกาย และจิตใจ สมอง ระบบประสาท จิตเวช หลอดเลือดหัวใจและปอด ระบบทางเดินอาหาร และ กล้ามเนื้อและกระดูก ในแต่ละระบบนั้นความรุนแรงมีช่วงที่กว้างมาก เช่นในระบบประสาท อาการมีตั้งแต่ปวดหัวสมองฝ่อ (encephalopathy) กล้ามเนื้ออ่อนแรง จนถึงสมองล้า (brain fog) ที่เหมือนกับสมองเสื่อม ความจำไม่ดี มีปัญหาคิดคำต่างๆไม่ออก คิดเลขง่ายๆไม่ได้ เช่น คำนวณค่าทิป หรือแย่กว่านั้น สำหรับบางคนจะมีอาการป่วยนานหลายเดือนถึงแม้อาการป่วยเหล่านั้นจะไม่รุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ทำให้คนเหล่านั้นนอนไม่หลับ ไม่สามารถไปทำงานตามปกติได้ และไม่สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนก่อนมีอาการป่วยได้[1]
พญ. เคลลี แอน เฟิร์นลีย์ (Dr. Kelly Ann Fearnley) แพทย์ชาวอังกฤษที่เพิ่งเรียนจบในช่วงที่โรคระบาดโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศอังกฤษ (ช่วงเดือนมีนาคม 2563) ซึ่งทำให้รัฐบาลอังกฤษจำเป็นต้องเพิ่มคนทำงานสำหรับระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของประเทศ (National Health Service หรือ NHS) อย่างเร่งด่วน และรัฐมนตรีสาธารณสุขผ่อนปรนให้แพทย์จบใหม่จดทะเบียนชั่วคราว (provisional registration) กับแพทยสภาแห่งสหราชอาณาจักร (General Medical Councils หรือ GMC) เพื่อให้สามารถทำงานได้ก่อนกำหนด
นอกจากนั้นแล้วรัฐมนตรีสาธารณสุขในขณะนั้นเรียกร้องให้บุคลากรทางการแพทย์ที่เกษียณแล้วให้กลับมาทำงานให้กับเอ็นเอชเอส (NHS) อีกรอบเพื่อช่วยเหลือประเทศในยามวิกฤต
พญ. เฟิร์นลีย์ เป็นคนหนึ่งของแพทย์จบใหม่ประมาณ 4,500 คนที่จดทะเบียนชั่วคราว และอดีตเจ้าหน้าที่ของเอ็นเอชเอสที่เกษียณอีก 15,000 คนที่กลับมาทำงานแนวหน้าเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 พญ. เฟิร์นลีย์ ถูกหมุนเวียนให้ทำงานในแผนกต่างๆหลายแผนกรวมถึงแผนกผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งแต่เมื่อเธอได้ขึ้นทะเบียนชั่วคราวในเดือนมีนาคมจนถึงเดือนสิงหาคมเมื่อเธอขึ้นทะเบียนตามปกติแล้ว
ในเว็บไซต์ Medical News Today พญ. เฟิร์นลีย์ เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของเธอที่ป่วยเป็นโควิดยืดยาวทางสมอง (long neuro-COVID)[2]
ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นคลื่นที่สองของการระบาดในอังกฤษและรัฐบาลต้องปิดประเทศ (หรือล็อคดาวน์ – lockdown) เป็นครั้งที่สองเพราะอัตราการตายจากโควิดและการเข้าโรงพยาบาลเพราะโควิดเพิ่มสูงขึ้น พญ. เฟิร์นลีย์ ถูกมอบหมายให้ทำงานในแผนกผู้ป่วยโควิดและเธอต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยที่มีเพียงชุดป้องกันการติดเชื้อส่วนบุคคลขั้นพื้นฐาน (basic personal protective equipment – PPE) เท่านั้นเอง และเธอไม่แปลกใจเท่าไรที่เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นและผลการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส (การตรวจพีซีอาร์ – PCR) มีผลเป็นบวก
อาการป่วยระยะแรกของเธอนาน 2 อาทิตย์และอาการป่วยเทียบได้กับการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการเบาถึงปานกลาง ซึ่ง พญ. เฟิร์นลีย์ กล่าวว่าไม่เป็นเรื่องที่สบายเท่าไรแต่เป็นเรื่องที่คาดไว้แล้ว และเนื่องจากเธออายุเพียง 35 ปี เป็นคนที่ฟิต สุขภาพสมบูรณ์และไม่มีโรคเรื้อรังใดใด เธอจึงคาดว่าคงจะหายเป็นปกติภายในเวลาไม่นาน ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปแล้วเธอกล่าวว่าการคิดเช่นนั้นไร้เดียงสาจริงๆ
ในอาทิตย์ที่ 3 นอกจากความรู้สึกเป็นไข้ที่ยังคงอยู่แล้วเธอเข้าใจผิดและคิดว่าหายเป็นปกติแล้ว ในต้นอาทิตย์ที่ 4 เธอกลับไปทำงานแต่เธอไม่สามารถทำงานจนเสร็จรอบเข้าเวรได้เพราะรู้สึกเวียนหัวและขาอ่อนเป็นวุ้นไม่มีแรงเธอจึงต้องกลับบ้าน ซึ่งในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเป็นการเริ่มต้นของโควิดยืดยาว
หลังจากนั้นสุขภาพของ พญ. เฟิร์นลีย์ ทรุดฮวบ การเต้นของหัวใจของเธอเร็วผิดปกติถึง 140 ครั้งต่อนาที และหายใจลำบาก ในขณะที่พักอัตราการหายใจของเธออยู่ในช่วง 20-24 ครั้งต่อนาที ต่อมาการเต้นของหัวใจของเธอเร็วขึ้นเป็น 170 ครั้งต่อนาทีในขณะที่ยืนและทำอะไรที่ไม่ได้ออกแรงมาก เช่น กินน้ำ หรือเข้าห้องน้ำ
นอกจากอาการที่กล่าวไปแล้วเธอเริ่มมีอาการเหมือนกับมึหมุดและเข็มทิ่มตามแขนขาทั้งสี่ที่เกิดเป็นรอบๆและร่างกายสั่นอย่างรุนแรงไปหมดทั้งตัว การสั่นนั้นรุนแรงเหมือนกับเป็นโรคลมชักแต่เธอกล่าวว่าไม่ใช่โรคลมชักเพราะเธอยังรู้สึกตัวอยู่
อาการป่วยนี้เกิดพร้อมกับความรู้สึกกระหายน้ำที่ไม่รู้จักอิ่มเป็นอย่างมากที่เกิดขึ้นทั้งเมื่อมีความรู้สึกว่าต้องถ่ายปัสสาวะอย่างเร่งด่วนหรือต้องอาเจียรหรือหายใจไม่สะดวกหรือเมื่อไม่มีความรู้สึกเหล่านี้ อาการป่วยนี้เกิดเป็นรอบๆทุกวันบางครั้งเป็นอยู่นานถึง 14 ชั่วโมงติดต่อกัน และเธอมักจะนอนสั่นทั่งคืน
พญ. เฟิร์นลีย์ คิดว่าเธอเกิดความเสื่อมสภาพของการเต้นของหัวใจและระบบการหายใจที่มีสาเหตุมาจากประสาท ในทางสรีระนั้นเธอเปรียบเหมือนว่าอยู่บนลู่วิ่ง (treadmill) ที่เธอไม่สามารถลงจากมันได้ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เธอยังมีความชอกช้ำเป็นอย่างมากจนกระทั่งทุกวันนี้
ในช่วงอาทิตย์แรกๆ พญ. เฟิร์นลีย์ มีความรู้สึกว่าทางเดินหายใจของเธอแคบลง เธอต้องหายใจเร็วแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนว่าหายใจผ่านหลอดดูดน้ำ และจากประสบการณ์ในอดีต พญ. เฟิร์นลีย์ รู้ว่าทางเดินหายใจที่แคบลงเพราะการอักเสบแก้ได้ด้วยยากินเพรดนิโซน (prednisone) และยาเฟกโซเฟนาดีน (fexofenadine)
อาการป่วยเหล่านี้ทำให้เธอต้องไปห้องฉุกเฉินแต่อาการต่างๆของเธอไม่ได้รับความสนใจและถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นเพราะความรู้สึกกังวล เมื่อแพทย์ที่ตรวจเธอได้ยินคำว่าการป่วยเกิดเป็นรอบๆ หมุดและเข็ม และเห็นผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ (electrocardiogram) ที่แสดงว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ แพทย์ผู้ตรวจจึงเชื่อมโยงอาการต่างๆเข้าด้วยกัน แต่เป็นการเชื่อมโยงที่ผิด
แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินที่ตรวจ พญ. เฟิร์นลีย์ คาดว่าจะต้องเห็นภาพเอ็กซ์เรย์ที่แสดงว่าปอดของเธอขุ่นมัว แต่เมื่อภาพของปอดในเอ็กซ์เรย์นั้นชัดเจน ทำให้เขาสรุปว่าอาการของเธอหากไม่ใช่โควิดยืดยาวก็ต้องเป็นอาการกังวลหรือโรคกรดไหลย้อน
ถึงแม้ว่าเธอมีอาการของโควิดยืดยาวแต่เธอถูกปฏิบัติเหมือนกับว่าเธอเป็นเด็กอายุน้อยที่กังวลเกินไป ความกังวลต่างๆของเธอถูกมองข้ามไปทั้งๆที่เธอเองก็เป็นแพทย์เหมือนกัน เมื่อ พญ. เฟิร์นลีย์ บอกกับแพทย์ห้องฉุกเฉินว่าเขาวินิจฉัยผิดและเธอรู้สีกว่าป่วยจริงๆ แต่ว่าเวลาสำหรับเธอหมดไปแล้ว และแพทย์ที่ดูเธอมีคนไข้ที่อาการแย่กว่าที่เขาต้องดูและสำหรับเขาแล้วอาการของ พญ. เฟิร์นลีย์ ไม่แย่พอ มีผลให้พยาบาลเข็นรถเข็นของเธอออกไปจากห้องฉุกเฉิน
พญ. เฟิร์นลีย์ อธิบายว่าปัจจุบันนี้เรารู้แล้วว่าโควิด-19 ทำให้เกิดกลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่าร่าง (postural orthostatic tachycardia syndrome หรือ POTS) ซึ่งเป็นปัญหาที่ระบบประสาทอัตโนมัติ (authonomic system) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการควบคุมประสาทด้วยตัวมันเองถูกรบกวน
นอกจากนั้นแล้ว พญ. เฟิร์นลีย์ เสริมว่ามีการวิจัยหลายโครงการที่รายงานเกี่ยวกับอาการทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับไวรัสซาร์สโควีทู (SARS-CoV-2) และเกี่ยวกับทั้งระบบประสาทส่วนปลายและระบบประสาทส่วนกลาง
ในช่วงที่ป่วยอยู่ที่บ้านนั้น พญ. เฟิร์นลีย์ ยังคงมีอาการหมุดและเข็มทิ่มแขนขา ร่างกายสั่น และหายใจลำบาก และเธอยังมีอาการที่ความรู้สึกตัวลดลงอย่างเฉียบพลันสลับกับการหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ที่เกิดสลับกันเป็นรอบๆซึ่งเธออธิบายว่าร่างกายของเธอจะปลุกให้เธอตื่นจากการหลับหรือภาวะจวนจะหลับและหลังจากที่อาการหยุดไปเพียงนิดเดียวเธอก็จะมีอาการเหนื่อยหอบ
อาการดังกล่าวเหมือนกับว่าร่างกายของเธอจำไม่ได้ว่าการหายใจต้องทำอย่างไร และทำให้เธอสงสัยว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติในระบบประสาทส่วนกลางของเธอและตระหนักว่าเธอป่วยมากถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้ก็ตาม เธอคิดว่าก้านสมองต้องมีส่วนแน่นอน ในช่วงนั้นเธอมีความรู้สึกว่าความหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอซึ่งเธออธิบายได้แต่เพียงว่าเป็นความรู้สึกด้านอารมณ์ที่รู้สึกได้ในทรวงอกที่ดึงให้เธอลงต่ำและจมอยู่ใต้น้ำ
เธอมีอาการนอนไม่หลับและรู้สึกอ่อนเพลียมากทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ไวรัสหรือการตอบสนองของร่างกายต่อไวรัสทำให้เธอตื่นอยู่
หลังจากที่ไม่ได้หลับเป็นเวลา 72 ชั่วโมง เธอมีอาการประสาทหลอนที่เกี่ยวกับการได้ยินที่เกิดจากภายนอกที่เกือบเหมือนกับอาการนอนไม่หลับ เมื่อเธอหยิบแก้วน้ำเธอจะได้ยินเสียงเครื่องประกาศเสียงเรียกให้เธอไปที่ชานชาลาในขณะที่ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนด่าเธอจากมุมห้อง
ตลอดเดือนธันวาคมและช่วงต้นของเดือนมกราคม พญ. เฟิร์นลีย์ ยังคงมีอาการหมุดและเข็มทิ่มแทงและอาการสั่นไปทั้งตัว ซึ่งความรุนแรงของอาการเหล่านั้นยังคงเหมือนเดิม แต่ความถี่ที่เกิดขึ้นและระยะเวลาที่มีอาการเริ่มลดลง และอาการทั้งสองหายไปในกลางเดือนมกราคมซึ่งทำให้เธอคิดว่าเธอคงผ่านพ้นช่วงที่แย่ที่สุดไปแล้ว
ตลอดเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม พญ. เฟิร์นลีย์ รู้สึกว่าสมองใหญ่ซีกขวา (right cerebral hemishere) ของเธอชาและอักเสบ นอกจากนั้นแล้วเธอยังมีอาการปวดหูอย่างรุนแรง (otalgia) ความปวดนั้นลึกมากกว่าหูอักเสบเพราะแบคทีเรีย เธออธิบายว่าเธอรู้สึกเหมือนมีแท่งเหล็กร้อนๆทิ่มเข้าไปในหู เธอรู้สึกว่าเส้นประสาทหู (vestibulocohlear nerve) ของเธอติดไฟอยู่
พญ. เฟิร์นลีย์ อธิบายต่อว่าเธอเริ่มมีอาการประสาทหลอนที่เกี่ยวกับการได้ยินแต่เป็นเสียงที่เกิดจากภายในที่เกิดขึ้นประมาณ 5 คืนต่ออาทิตย์เป็นเวลาประมาณ 2-3 เดือน เธอจะได้ยินเสียงเพลง วงดนตรีบรรเลงเพลง รายงานข่าว ข่าวการเมือง ที่ทั้งหมดเกิดจากภายในหู และถึงแม้ว่าการหลับของเธอจะถูกรบกวนอยู่เสมอในช่วงนั้นแต่อาการประสาทหลอนนี้ไม่ได้เป็นรองจากการนอนไม่หลับ เพราะหากว่าเธอโชคดีพอที่จะหลับได้เธอจะฝันร้ายที่ชัดเจนเหมือนจริงและน่ากลัวมาก
นอกเหนือจากที่โควิด-19 ทำให้ พญ. เฟิร์นลีย์ มีอาการหูอื้อและเสียงดังรบกวนในหู (tinnitus) อาการเสียงดังลึกที่เกิดในสมอง และอาการประสาทหลอนแล้ว เธอยังมีอาการหูไหวเกิน (hyperacusis) ที่ทำให้เธอทนต่อเสียงในชีวิตประจำวันแทบไม่ได้ และอาการเวียนศรีษะหรือบ้านหมุน (vertigo) เป็นระลอกๆด้วย อาการเหล่านี้ทำให้เธอทนต่อแสงหรือเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่ได้และวันๆหนึ่งเธอได้แต่นอนหลับตาอยู่บนเตียง
อาการเหล่านี้ทำให้เธอเป็นคนเจ้าอารมณ์ และในช่วงหลายเดือนเธอคิดว่าเธอเป็นคนอารมณ์ไม่คงที่ และเธอมีพฤติการณ์ด้านอารมณ์และการพูดที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นหลายครั้งทำให้เธอคิดว่าอาการของเธอถูกวินิจฉัยผิดหรือตีความผิดโดยทีมที่ดูแลด้านโควิดยืดยาว พฤติการณ์เหล่านี้รวมถึงเช่น พูดช้า พูดติดอ่าง พูดไม่ชัด หรือคิดคำไม่ออกที่เกิดขึ้นบ่อยมาก
พญ. เฟิร์นลีย์ สงสัยว่าระบบประสาทของเธออักเสบ และเธอแสดงความกังวลกับแพทย์ที่ดูแลเธอ แต่ในช่วงนั้นยายของเธอเพิ่งเสียชีวิตจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าคนอื่นย่อมคิดว่าใครก็ตามที่ประสบกับเหตุการณ์และปัญหาหลายอย่างพร้อมๆกันเช่นนั้นย่อมมีอาการหดหู่และกังวล และเธอถูกส่งต่อไปยังบริการสุขภาพจิตเพื่อให้เธอได้รับการรักษาแบบองค์รวม (holistic approach) ในเดือนพฤษภาคม เธอได้การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาซึ่งวินิจฉัยว่าเธอเป็นสมองอักเสบที่บริเวณของสมองที่เรียกว่าลิมบิค (limbic encephalitis) แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคิดว่าอาการอักเสบนั้นเริ่มหายแล้วเพราะอาการประสาทหลอนที่เธอเป็นอยู่เริ่มหายไป
ตลอดเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน เธอไม่รู้สึกว่าสมองของเธอยังอักเสบอยู่แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าสมองไม่เป็นปกติอยู่ ทุกครั้งที่เธอแตะหัวของเธอ เธอรู้สึกว่าหัวข้างขวาแตกต่างจากหัวข้างซ้าย แทนที่เธอจะรู้สึกทั้งหัวคล้ายกัน เธอมีความรู้สึกแปลกๆในบางบริเวณของสมอง โดยเฉพาะสมองกลีบข้างด้านขวา (right parietal) และสมองกลีบขมับด้านขวา (right temporal lobe) หากสมองกลีบข้างด้านขวาเกิดการอักเสบเธอจะมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับอารมณ์และการพูด
หากสมองกลีบขมับด้านขวาอักเสบเธอจะมีอาการปวดหูและมีเสียงดังรบกวนในหูที่รุนแรงซึ่งจะทำให้อารมณ์ของเธอแปรปรวนไปด้วย และในการทดสอบการได้ยินในภายหลังพบว่าเธอเริ่มสูญเสียการได้ยินไปบ้างแล้ว
และสิบเดือนหลังจากที่เริ่มมีอาการเหล่านี้ สุขภาพของเธอดีขึ้น แต่เธอยังคงรู้สึกว่าเธอไม่สบายอยู่ เธอยังรู้สึกว่าเธอกำลังฟื้นตัวจากอาการสมองอักเสบในบริเวณลิมบิคอยู่ เธอยังมีอารมณ์เปราะบางอยู่ แต่ความรู้สึกอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรงเริ่มลดน้อยลง และเธอหวังว่าเมื่อสมองของเธอดีขึ้น การได้ยินของเธอก็จะดีขึ้นตามไปด้วยและเธอหวังว่าอาการหูอื้อจะหายไปอย่างแท้จริง
อาการระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonomia) ของเธอเริ่มดีขึ้น แต่เธอก็ยังมีอาการระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์อยู่บ้าง และนับเป็นเวลา 10 เดือนแล้วที่อัตราการเต้นของหัวใจในขณะที่พักอยู่ของเธอประมาณ 90-110 ครั้งต่อนาที และจะเพิ่มเป็น 120 ครั้งต่อนาทีเมื่อเธอยืนและเพิ่มขึ้นถึง 160 ครั้งต่อนาทีหากว่าเธอทำอะไรที่ต้องออกแรงแม้แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และใน 2 อาทิตย์ล่าสุด การเต้นของหัวใจของเธอในขณะที่พักลดลงเป็นอย่างมาก เธอยังคงมีอาการหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติเป็นครั้งๆแต่ไม่ใช่เต้นเร็วอยู่เสมอ และการออกกำลังที่ไม่ต้องออกแรงมากนักเช่นเคลื่อนไหวอยู่ภายในบ้านหัวใจของเธอก็จะเต้นเร็วขึ้น และเธอยังเกิดภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นครั้งคราว
อาการความผิดปกติของหลอดเลือดส่วนปลาย (acrocyanosis) ที่เป็นอาการเกี่ยวกับการหมุนเวียนของเลือดผิดปกติที่เธอเป็นที่มือและเท้านั้นหายไป และอาการถ่ายปัสสาวะบ่อยมากในตอนกลางคืน (nocturia) ก็ลดลงด้วย
โดยรวมแล้ว พญ. เฟิร์นลีย์ รู้สึกอ่อนเพลียมากและยังคงมีอาการอ่อนล้าหมดแรงหลังจากที่ออกกำลังเพียงเล็กน้อย (postexertional malaise) อยู่ นอกจากไปพบแพทย์ที่คลินิกและไปฉีดวัคซีนแล้วเธอไม่ได้ออกจากบ้านเลยเป็นเวลาถึง 10 เดือน เธอเสริมว่า การเรียกอาการเหล่านี้ว่าความเหนื่อยล้า (fatigue) นั้นไม่ถูกต้องเท่าไรเพราะว่ามันไม่ใช่แค่ความเหนื่อยเท่านั้นเพราะเธอคุ้นเคยกับการทำงานเป็นกะที่ต้องยืนตลอดช่วง 14 ชั่วโมง แต่อาการอ่อนเพลียท่ีเธอเป็นเพราะโควิดไม่ใช่ความเหนื่อยที่สามารถกัดฟันทนจนมันผ่านพ้นไปได้ เธอเสริมว่าความรู้สึกอ่อนเพลียนี้เหมือนกับว่ามันเกิดในระดับเซลล์ที่มีอะไรบางอย่างขาดหายไป เธอคิดว่าไมโทคอนเดรีย (mitochondria – แหล่งสร้างพลังงานของเซลล์) คงทำงานไม่เป็นปกติ และเสริมว่ามีหลักฐานที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้อยู่บ้าง
พญ. เฟิร์นลีย์ เล่าว่าในแต่ละวันนั้นเธอสามารถทำอาหาร 3 มื้อ อาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เอง และตลอดทั้งวันเธอพักแบบที่ยังทำอะไรอยู่บ้างที่ไม่ต้องออกแรงมาก (active rest) แต่สำหรับบางวันนั้นเธอไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย แต่อย่างไรก็ตามจากที่เธอทำอะไรไม่ได้เลยในตอนต้น เช่น ไม่สามารถลุกนั่งบนเตียงได้เองหรือขึ้นบันไดไม่ได้ เธอสังเกตว่าร่างกายของเธอเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และเสริมต่อว่าเธอไม่ได้ดูโทรทัศน์หรือขับรถมาเป็นเวลา 10 เดือนแล้วและเธอไม่รู้สึกว่าดีพอที่จะขับรถได้
เธอกล่าวว่าถึงแม้ว่าเธอยังมีปัญหาเกี่ยวกับสมาธิและเธอยังคงเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้หรือเปิดแก๊สทิ้งไว้อยู่ แต่เธอรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับการตั้งสมาธินี้เธอเปรียบเทียบว่าเหมือนกับอาการเมาเหล้าซึ่งเมื่อคนเมาเหล้าอยู่นั้นเขาจะไม่รู้ว่าเมามากแค่ไหนจนกระทั่งเริ่มสร่างเมา และเธอเน้นว่าเธอเมามาเป็นเวลาหลายเดือน และเมื่ออาการเริ่มดีขึ้นแล้วเธอจึงเริ่มทบทวนได้ว่าการป่วยของเธอนั้นแย่แค่ไหน
นอกจากอาการต่างๆที่กล่าวมาแล้ว พญ. เฟิร์นลีย์ ยังมีอาการอื่นๆอีกมาก ทุกๆสอง-สามวันเธอจะมีอาการเจ็บคอ จาม สายตาไม่ปกติ เช่น เห็นจุดๆเมื่อมอง ตาพร่ามัว หรือมีอะไรลอยอยู่ในจอภาพ และท้องเสียเป็นบางครั้ง และอาการอื่นๆ
รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษกล่าวว่าเท่าที่ผ่านมามีบุคลากรทางการแพทย์ของสหราชอาณาจักรเสียชีวิตเพราะโควิด-19 ไปแล้ว 1,500 คน และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องหยุดงานเพราะโควิดยืดยาวอีก 122,000 คน พญ. เฟิร์นลีย์ กล่าวว่าเธอเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของเธอเกี่ยวกับโควิดยืดยาวเพื่อเพิ่มความตระหนักเกี่ยวกับโควิดยืดยาวและผล กระทบของมันที่มากมายและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย และเพื่อสะท้อนถึงความไม่พร้อม ไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ของคนในวงการแพทย์
ประสบการณ์ของ พญ. เฟิร์นลีย์ ที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยผิด แพทย์ที่ดูไม่ให้ความสนใจหรือมองข้ามอาการที่คนไข้บอกไม่ใช่กรณีเฉพาะที่เป็นพิเศษแตกต่างจากผู้อื่น บอดีโพลิติก (Body Politic) เป็นกลุ่มรณรงค์เพื่อลดการตีตราที่ผู้ป่วยโควิดยืดยาวและโรคเรื้อรังอื่นๆประสบอยู่ ประธานของกลุ่มเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดกับเธอเมื่อเป็นโควิดยืดยาวที่รุนแรงและมากมายไม่ต่างไปจากสิ่งที่ พญ. เฟิร์นลีย์ เจอ
ลอเรน นิโคลส์ (Lauren Nichols) ประธานของบอดีโพลิติกเป็นหญิงอายุ 32 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรงเดินไปทำงานและกลับบ้านวันละ 6 ไมล์ (เกือบ 8 กม.) ทุกวัน แต่เมื่อเป็นโควิดยืดยาวนั้นเธอรู้สึกอ่อนแรงมาก และสับสนมาก เช่น มองแปรงสีฟันหรือมือตัวเองแต่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรหรือสิ่งเหล่านั้นเรียกว่าอะไร และเธอมีประสบการณ์ที่แพทย์ผู้ดูแลไม่เชื่อในสิ่งที่เธอบอกเกี่ยวกับอาการต่างๆที่เธอเป็น (เช่น เหนื่อยล้ามาก ปวดแสบในปอดเหมือนกับมีไฟอยู่ในปอด เจ็บหน้าอก หายใจไม่ทัน ไข้ เหงื่อออกท่วมตัวในขณะที่หลับอยู่ ปวดหัว ไมเกรน ไม่มีความอยากอาหาร) แต่สิ่งที่เธอบอกว่าเจ็บปวดยิ่งกว่าการเจ็บปวดต่างๆที่กล่าวมา คือการเจ็บปวดจากการที่แพทย์ปฏิเสธไม่เชื่อในอาการต่างๆที่เธอเล่าให้แพทย์รวมทั้งการที่แพทย์เชื่อว่าสาเหตุของอาการป่วยต่างๆนั้นไม่เกี่ยวกับโควิด ทัศนคติและการปฏิบัติของแพทย์เช่นนี้เธอกล่าวว่าแย่กว่าความเจ็บปวดทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเธอ[3]
ประสบการณ์ของเธอทำให้เธอเริ่มโพสต์ (ลงข้อความ) ในสื่อสังคมในต้นปี 2020 เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับโควิดยืดยาวและเพื่อสะท้อนความจริงว่าระบบบริการสุขภาพและสถาบันของรัฐบาลมีความรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก การรณรงค์ของเธอนำไปสู่การถูกกล่าวหาต่างๆ เช่น เป็นนักแสดงที่ได้รับเงินจากรัฐบาล เป็นคนที่เรียกร้องความสนใจให้แก่ตนเอง เรื่องต่างๆที่เธอกล่าวถึงไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นเรื่องที่เธอกุขึ้นเอง และรวมถึงการถูกขู่ฆ่าหลายครั้ง ซึ่งการโจมตีและถูกขู่ฆ่าทำให้เธอมีความรู้สึกหดหู่และต้องการฆ่าตัวตายอยู่ช่วงหนึ่ง
โควิดยืดยาวมีผลกระทบทั้งต่อบุคคลและต่อสังคมเพราะอาการต่างๆที่เป็นอยู่อย่างยืดยาวทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติเป็นเวลาหลายๆเดือน และการเจ็บป่วยต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดย่อมมีผลกระทบต่อบริการสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และที่สำคัญอีกประการคือผู้ป่วยโควิดยืดยาวส่วนมากไม่มีอาการป่วยที่รุนแรงจนถึงกับต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล ดังนั้นผลกระทบของโควิดยืดยาวต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจจะถูกซ่อนอยู่ทำให้คนส่วนมากไม่ตระหนักถึงความสำคัญและผลกระทบของโควิดยืดยาวที่จะมีผลต่อเนื่องทำให้ไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม
ประธานของบอดีโพลิติกกล่าวว่าในช่วงหลังๆโควิดยืดยาวได้รับความสนใจมากขึ้นและเริ่มมีการวิจัยเกี่ยวกับโควิดยืดยาวมากขึ้นซึ่งถือได้ว่าเป็นนิมิตที่ดี แต่เธอเตือนว่าสังคมในปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญต่อเสียงทางแพทย์มากกว่าเสียงของคนไข้ ซึ่งเธอคิดว่าควรให้ความสำคัญต่อทั้งสองเสียงเหมือนๆกัน
______________________________________________________________________
[1] จาก From medical gaslighting to death threats, long Covid tests patients โดย Elizabeth Cooney เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.statnews.com/2021/11/22/long-covid-patients-medical-gaslighting-death-threats/
[2] จาก My experience of living with long neuro-COVID โดย Kelly Ann Fearnley เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.medicalnewstoday.com/articles/through-my-eyes-long-neuro-covid
[3] จาก From medical gaslighting to death threats, long Covid tests patients โดย Elizabeth Cooney เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2564 ใน https://www.statnews.com/2021/11/22/long-covid-patients-medical-gaslighting-death-threats/?