บทความโดย อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกามีข่าวเกี่ยวกับการวิจัยการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และภายหลังการคลอดเพื่อประเมินการตอบสนองของภูมิต้านทานในผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 และทารกของพวกเธอ[1]

ในข่าวกล่าวว่าการวิจัยใหม่โครงการนี้เป็นการวิจัยแบบสังเกตการณ์ที่ต้องการประเมินการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนที่ฉีดให้แก่ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือแม่หลังการคลอด (postpartum) ซึ่งนักวิจัยจะประเมินพัฒนาการของภูมิต้านทานต่อไวรัสซาร์สโควีทู (SARS-CoV-2) ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้คนป่วยเป็นโควิด-19 ในคนที่ได้รับฉีดวัคซีนในขณะตั้งครรภ์หรือในสองเดือนแรกหลังการคลอดบุตร นอกจากนั้นแล้วนักวิจัยจะประเมินความปลอดภัยของวัคซีนและประเมินการถ่ายทอดภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนจากแม่สู่ทารกที่ผ่านรก (placenta) และน้ำนมแม่

การวิจัยดังกล่าวมีชื่อว่า โมมิ-แวคซ์ (MOMI-VAX) ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนด้านงบประมาณโดยสถาบันแห่งชาติด้านโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases – NIAID) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) การวิจัยโมมิ-แวคซ์ดำเนินการโดยสหพันธ์การวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับโรคติดต่อ (Infectious Diseases Clinical Research Consortium – IDCRC) ที่ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากสถาบันแห่งชาติด้านโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อ

นพ. แอนโทนี เฟาชิ (Dr. Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติด้านโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อกล่าวว่า “ในสหรัฐอเมริกาผู้หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จำนวนหลายหมื่นคนได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน อย่างไรก็ตามเราไม่มีข้อมูลทางคลินิกแบบไปข้างหน้าที่มีคุณภาพเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่คนกลุ่มนี้ ผลของการวิจัยนี้จะช่วยเติมช่องว่างของความรู้ของเราและช่วยในการกำหนดข้อแนะนำและการตัดสินใจส่วนตัวเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในช่วงตั้งครรภ์และช่วงหลังคลอด”

ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ที่เป็นโควิด-19 มีโอกาสที่จะต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องได้รับการรักษาในแผนกผู้ป่วยอาการหนัก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และตายจากโควิด-19 สูงกว่าผู้หญิงอายุเท่ากันที่ไม่ตั้งครรภ์ การป่วยเป็นโควิด-19 ที่รุนแรงในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกมีความเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนต่างๆ เช่น คลอดก่อนกำหนด ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือเลี้ยงลูกด้วยนมอาจเลือกที่จะได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติแล้ว และมีการวิจัยโครงการต่างๆที่กำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนโควิด-19 ในประชากรกลุ่มนี้อยู่ เท่าที่ผ่านมาดูเหมือนว่าวัคซีนโควิด-19 มีความปลอดภัยต่อประชากรกลุ่มนี้ การวิจัยโดยสถาบันแห่งชาติด้านโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อจะเสริมต่อจากการวิจัยเหล่านี้ด้วยการเพิ่มเติมความเข้าใจเกี่ยวกับการตอบสนองของภูมิต้านทานต่อวัคซีนโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์และหญิงเลี้ยงลูกด้วยนมและการถ่ายทอดภูมิต้านทานไปสู่ทารกในระหว่างการตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกด้วยนม ประสบการณ์จากโรคอื่นแสดงว่าการถ่ายทอดภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนจากแม่ไปสู่ทารกอาจช่วยป้องกันเด็กที่เพิ่งคลอดและทารกจากโควิด-19 ในช่วงต้นของชีวิตได้

นักวิจัยจะรับสมัครหญิงตั้งครรภ์จำนวนถึง 750 คนและหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรไม่เกินสองเดือน 250 คนที่ได้รับฉีดหรือที่จะได้รับฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติหรือขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแล้ว ทารกของหญิงที่เข้าร่วมการวิจัยก็จะถูกรับให้เข้าร่วมการวิจัยด้วย แต่ตามแผนการวิจัยของโครงการนี้จะไม่มีการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้เข้าร่วมการวิจัย ในปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีวัคซีนโควิด-19 สามวัคซีนที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินได้แก่ วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA vaccines) ของบริษัทไฟเซอร์​​ (Pfizer) และบริษัทโมเดอร์นา​ (Moderna) และวัคซีนที่ใช้ไวรัสอดิโนเป็นพาหะ (adenoviral vector vaccine) ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) การวิจัยโครงการนี้ถูกออกแบบมาสำหรับประเมินวัคซีนที่ได้รับอนุมัติหรือขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยาถึง 5 ประเภท หากว่ามีวัคซีนอื่นที่เป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น

ผู้เข้าร่วมการวิจัยและทารกของพวกเธอจะได้รับการติดตามโดยทีมวิจัยเป็นเวลาหนึ่งปีหลังการคลอดบุตร ในการประเมินพัฒนาการและความยั่งยืนของภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนโดยรวมและตามประเภทและรูปแบบ (platform) ของวัคซีนนั้น นักวิจัยจะวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดที่เก็บจากผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ตั้งครรภ์และที่เพิ่งคลอดลูก ตัวอย่างเลือดนี้จะเก็บเมื่อผู้เข้าร่วมการวิจัยลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการวิจัย และเมื่อคลอดสำหรับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่เข้าร่วมการวิจัยระหว่างการตั้งครรภ์ และในเดือนท่ีสอง เดือนที่หก และเดือนที่สิบสองหลังจากคลอด ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ตั้งครรภ์และเข้าร่วมการวิจัยก่อนที่จะได้รับฉีดวัคซีนจะถูกเก็บตัวอย่างเลือดเมื่อลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการวิจัยและประมาณ 1 เดือนหลังจากที่ได้รับฉีดวัคซีนแล้ว ในการประเมินการถ่ายทอดภูมิต้านทานที่ผ่านรกและระดับและความยั่งยืนของภูมิต้านทานในทารก นักวิจัยจะทำการตรวจภูมิต้านทานจากตัวอย่างเลือดที่เก็บจากสายสะดือที่เก็บเมื่อคลอด และจากตัวอย่างเลือดที่เก็บจากทารกเมื่อสองเดือนและหกเดือนหลังการคลอด

นักวิจัยยังจะประเมินผลต่างๆที่อาจจะมีต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันของแม่และการถ่ายทอดภูมิต้านทานผ่านรกตามปัจจัยดังต่อไปนี้ อายุของแม่ ไตรมาสของการตั้งครรภ์เมื่อได้รับฉีดวัคซีน สุขภาพของแม่ และความเสี่ยงของแม่ต่อการป่วยโควิด-19 นอกจากนั้นแล้วแม่ยังสามารถเลือกที่จะให้ตัวอย่างของน้ำนมของตนประมาณอาทิตย์ที่สอง เดือนที่สอง เดือนที่หก และเดือนที่สิบสองหลังการคลอด นักวิจัยจะวิเคราะห์ภูมิต้านทานในน้ำนมแม่เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยนมแม่ และทีมวิจัยจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการป่วยเป็นโควิด-19 ในผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ตั้งครรภ์และที่อยู่ในช่วงหลังคลอด ผลลัพธ์ของการคลอดและทารกแรกเกิด และการป่วยเป็นโควิด-19 ในทารกที่เข้าร่วมการวิจัย

นักวิจัยหลักของการวิจัยนี้คือ พญ. โฟล เอ็ม มูโนส (Dr. Flor M. Munoz) วิทยาลัยแพทยศาตร์เบย์เลอร์ (Baylor College of Medicine) รัฐเท็กซัส และ นพ. ริชาร์ด เอช เบกิ (Dr. Richard H Beigi) ศูนย์แพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยพิตต์ สเบิร์ก (University of Pittsburgh Medical Center) และรวมศูนย์วิจัย 20 แห่งจากทั่วประเทศ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิจัยนี้และสถานที่การวิจัยได้ที่เว็บไซต์ของ IDCRC

 

_______________________________________________________________________

[1] จาก NIH Begins Study of COVID-19 Vaccination During Pregnancy and Postpartum เมื่อ 23 มิถุนายน 2564 ใน https://www.nih.gov/news-events/news-releases/nih-begins-study-covid-19-vaccination-during-pregnancy-postpartum